Skip to content Skip to footer

ชิลี

อัญมณีแห่งอเมริกาใต

เกือบสิบกว่าปีที่แล้ว​โปสต์การ์ดใบหนึ่งเดินทางมาจาก ประเทศชิลี​ดินแดนฝั่งทวีปอเมริกาใต้​​กว่าโปสต์การ์ด ใบนั้นจะข้ามน้ำข้ามทะเลหลายหมื่นกิโลเมตรจากซีกโลกหนึ่ง มาถึงมือเราที่เมืองไทย​ข้อความด้านหลังก็ซีดจางพร่าเลือน​แต่ อ่านแล้วพอจับใจความสิ่งที่เพื่อนเขียนมาเล่าได้ว่า​อะเมซิงเกิน คำาบรรยาย​เมื่อพลิกอีกด้านบนแผ่นโปสต์การ์ด​สิ่งที่เห็นชัดเจน กลับเป็นภาพโมไอ​หินแกะสลักขนาดยักษ์เรียงรายตามชายหาด บนเกาะอีสเตอร์​กับคำถามในหัวว่า​ใครเป็นคนแกะสลัก​แกะ เพื่ออะไร​ใช้เครื่องมืออะไรทำ​มาตั้งอยู่ที่นี่ได้อย่างไร​เรื่องราว ปริศนาที่ยังไม่มีผู้ใดหาคำตอบแน่ชัดได้​และพลังของหินเหล่านั้น กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดทำให้ต้องมาสัมผัสด้วยตาตัวเองสักครั้ง

ทำาความรู้จักชิล

หากมองจากแผนที่โลก​ชิลีเป็นประเทศมีรูปทรงเป็นแถบ ยาวๆ​เหมือนริบบิ้น​มีความยาวประมาณ ​4,300 ​กิโลเมตร ​แต่ มีความกว้างเพียง​ 180​ กิโลเมตร​ขนาดประเทศไม่ใหญ่นัก​แต่ เรื่องความยาวกินขาดเพราะเป็นเจ้าของสถิติประเทศที่ยาวที่สุด ในโลก​ด้วยภูมิประเทศตั้งขนานไปกับมหาสมุทรแปซิฟิกและ แนวเทือกเขาแอนดีสหลายพันกิโลเมตร​ทำให้ชิลีมีภูมิประเทศ สวยงามหลากหลายอันเป็นสุดยอด​จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกหลายแห่ง​ทั้งทะเลทราย​ชายหาด​น้ำตก​ภูเขาหิมะ​ ธารน้ำแข็ง​ภูเขาไฟ​เรื่อยไปถึงอารยธรรมโบราณ​ในภูมิประเทศ เช่นนี้จะเที่ยวให้ครบต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ​สำหรับคนที่มีเวลา ไม่มาก​ควรวางแผนการเดินทางให้ดี​แนะนำว่าระหว่างเดือน มิถุนายนถึงกันยายนเป็นฤดูหนาวของซีกโลกใต้​เส้นทางบาง แห่งจะใช้การไม่ได้เพราะมีหิมะปกคลุม​ที่พักบางแห่งปิดบริการ​ ส่วนเดือนตุลาคมถึงมีนาคมเป็นช่วงอากาศอบอุ่น​สะดวกใน การเข้าถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ​ได้มากกว่า​​การเดินทางข้าม เมืองในชิลีนิยมใช้เครื่องบินเพราะภูมิประเทศเป็นแนวยาว​หาก เดินทางทางบกจะทำให้เสียเวลา​แนะนำให้เลือกสายการบินโลว์ คอสต์เพื่อลดค่าใช้จ่าย​หรือจะใช้บริการรถบัสก็มีให้เลือกหลาย บริษัท​สำหรับทริปนี้เกิดขึ้นในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม​ โดยมีจุดหมายที่เมืองซันติอาโก​เมืองบัลปาราอิโซ​และเกาะอีส เตอร์​​การเดินทางตามพื้นที่ต่างๆ​ในบทความนี้สามารถไปได้ ในเวลาสิบวัน​

สัมผัสเสน่ห์เมืองหลวงซันติอาโก (Santiago)

หลังจากก้าวขาออกจากบ้านเป็นเวลา​ 40​ กว่าชั่วโมงก็มา ถึงซันติอาโก​เมืองหลวงของประเทศชิลี​​ใครเดินทางมาครั้งแรก คงรู้สึกว่าเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ไกลแสนไกลจากบ้านเรา​(มาก)​ ใช้เวลายาวนาน​(มาก) ​เพราะไม่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องหนึ่งจุดเพื่อต่อไปยังซันติอาโก​แต่เรียกได้ว่าคุ้มค่ามาก​เพราะด้วยเหตุผลเดียวกันนี้​ทำาให้ชิลีสามารถคงความบริสุทธิ์ไว้ได้ ​และไม่หนาแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว

ซันติอาโก​นอกจากเป็นเมืองหลวงแล้ว​ยังเป็นเมืองใหญ่ ที่สุดของชิลี​ตั้งอยู่ในหุบเขาตอนกลางของประเทศ​ก่อตั้งขึ้นในปี​ ค.ศ.1541​เป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมยุค เก่าแก่​เกือบสามศตวรรษที่ความเจริญหลั่งไหลเข้ามา​เปลี่ยน ซันติอาโกให้เป็นเมืองที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกาใต้​ เสน่ห์ของซันติอาโกจึงมีทั้งความดั้งเดิมและความทันสมัยให้ สัมผัส​นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักมาเริ่มต้นที่ซันติอาโกก่อนเดิน ทางไปยังสถานที่ต่างๆ​ในชิลี​เพราะที่นี่เป็นศูนย์รวมของระบบ คมนาคมของประเทศ​​หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่พัก​คุณป้า เจ้าของที่พักได้ให้แผนที่พร้อมอธิบายสถานที่เที่ยวที่อยู่ในระยะ ใกล้​แม้คนที่นี่จะสื่อสารด้วยภาษาสเปนเป็นหลัก​พูดอังกฤษได้ เล็กน้อย​แต่ก็พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่​ซึ่งเป็นความประทับ ใจ​ทำาให้รู้สึกว่าเที่ยวชิลีได้อย่างสบายใจ​ไร้กังวล

สัมผัสสีสันเมืองท่าบัลปาราอิโซ (Valparaiso)

เคยดูหนังสักเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจไปดูแล้วออกจากโรงหนังด้วย ความรู้สึกประทับใจสุดๆ​ไหม​นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนั่งรถบัส ออกมาจากเมืองบัลปาราอิโซ​สารภาพตามตรงว่าเมืองนี้ไม่ได้อยู่ ในลิสต์ที่จะเดินทางไป​แต่คุณป้าเจ้าของที่พักพยายามเชื้อเชิญให้ ไปเมืองนี้ให้ได้​ก็เลยตกปากรับคำาเชิญ​ซึ่งบัดนี้บัลปาราอิโซกลาย เป็นเดอะเบสต์ในใจเป็นที่เรียบร้อย

นั่งรถบัสจากซันติอาโก​2​ชั่วโมงก็มาถึงบัลปาราอิโซ​ บรรยากาศในเมืองเย็นสบาย​สมเป็นเมืองริมชายฝั่งทะเลแปซิฟิก​ เอกลักษณ์เด่นที่มองเห็นตั้งแต่ก้าวเข้ามา​คือ​อาคารบ้านเรือน นับพันหลังทาทาบด้วยสีพาสเทลละลานตา​ลดหลั่นตามเนินเขา ราวกับหมู่บ้านในนิทาน​การออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างชาญ ฉลาดและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของผู้คนทำให้บัลปาราอิโซ ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลก​​ย้อนอดีตไปศตวรรษที่​ 19​บัลปาราอิโซเคยได้รับการขนานนามว่า​อัญมณีแห่งแปซิฟิก​ เพราะสมัยนั้นบรรดาครอบครัวชาวยุโรปย้ายมาตั้งถิ่นฐานกันที่ นี่เพื่อแสวงโชค​แล้วก็ร่ำรวยขึ้นมาจากการส่งเรือบรรทุกผู้คนไป แคลิฟอร์เนียในยุคตื่นทอง​แล้วสร้างบ้านเรือนที่สามารถมองเห็น เรือแล่นออกสู่ท้องทะเลได้จากระเบียงบ้าน

ตามรอยปริศนาโมไอที่เกาะอีสเตอร์

จากซันติอาโกต้องนั่งเครื่องบินนาน 5 ชั่วโมงกว่าจะมา ถึงเกาะอีสเตอร์( Easter​Island) ภาษาท้องถิ่นเรียก ราปา นุย​ เป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแฟซิฟิกอย่างโดดเดี่ยว และไกลโพ้นที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะห่างจากชายฝั่ง ชิลี 3,600 กิโลเมตร ลักษณะเกาะมีขนาดเล็ก มีพื้นที่ เพียง 160 ตารางกิโลเมตร มนตร์เสน่ห์ของเกาะอีสเตอร์ที่ ทำาให้ต้องดั้นด้นมา​คือ​โมไอ​(Moai) รูปปั้นหินแกะสลักเป็น หน้ามนุษย์มีสัดส่วนใหญ่โตแปลกตา​ถูกแกะสลักมาจากหิน ภูเขาไฟ​มีทั้งตัวเล็ก​ตัวใหญ่​หนักราว​160​ตันก็มี​​โมไอถูก ค้นพบครั้งแรกโดยนักเดินเรือชาวดัตช์ที่แล่นเรือมาพบเกาะใน วันอีสเตอร์ปี ค.ศ.1722 จึงตั้งชื่อเกาะว่า อีสเตอร์ หลังจากนั้น เริ่มทำาให้โมไอกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในเวลาต่อมา​ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าโมไอถูกสร้างเพื่ออะไร​สร้างอย่างไร​เคลื่อนย้าย มาอย่างไร​มีแต่ข้อสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในราวศตวรรษ ที่​13​โดยชาวพอลินีเชีย​(Polynesians)​ที่เข้ามาตั้งรกรากบน เกาะเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ​หรือเป็นตัวแทน ของบุคคลสำาคัญ​แม้เรื่องราวของโมไอจะยังเป็นปริศนา​แต่โมไอ ถือเป็นตัวแทนผลงานที่ถูกสร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์ของ บรรพบุรุษ​เป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมและอารยธรรมที่ได้รับการ ยกย่องว่าเป็นมรดกโลกแห่งชิล

Travel Tips

  • -จากเกาะอีสเตอร์ มีเที่ยวบินต่อไป Papeete Tahiti ทำาให้ สามารถรวมทริปเกาะอีสเตอร์กับเกาะโบราโบร่าเข้าด้วยกันได้ (จากTahiti ไปโบราโบร่า 1 ชั่วโมง)
  • ค่ารักษาพยาบาลในชิลีสูงมาก ควรมียารักษาโรคประจำา ตัวติดตัวไว้อย่างเพียงพอ เพราะอาจมีปัญหาในการซื้อหา ระหว่างการเดินทาง
  • คนไทยเที่ยวชิลีได้ไม่ต้องขอวีซ่า อยู่ได้นาน 90 วัน