เวลคัมทูบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม หนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่มีความสำาคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นเมืองที่เปี่ยมชีวิตชีวาด้วยบรรยากาศแวดล้อมและผู้คนอัธยาศัยดี เบลเยียมมีภาษาราชการ 3 ภาษา คือ ฝรั่งเศสดัตช์ และเยอรมัน นอกจากนี้ยังเป็นเมืองหลวงแห่งสหภาพยุโรป (EU) โด่งดังในเรื่องของช็อกโกแลตรวมถึงเบียร์ที่ขึ้นชื่อหากกล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจแล้ว เราขอปักหมุดเริ่มต้นทริปกันที่ จัตุรัสกร็อง-ปลัส (Grand-Place)ซึ่งจัดว่าเป็นหนึ่งในจัตุรัสที่งดงามมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ รายล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่สไตล์บาโรก กอทิก เเละนีโอกอทิก มีอายุยาวนานกว่า 400 ปี เรียกว่าเป็นจุดรวมของบรรดาสถาปัตยกรรมเเนวต่างๆ ที่งดงามอย่างยิ่ง จุดเด่นอยู่ที่ยอดแหลมของหอแขวนระฆังอันสูงโปร่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศาลาว่าการกรุงบรัสเซลส์ (Brussels Town Hall) สร้างขึ้นในยุคกลางและเป็นสถาปัตยกรรรมสไตล์กอทิกผสมบาโรกอันแสนวิจิตร ด้วยเหตุนี้จึงได้รับเลือกจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก
ราว 400 ปีก่อน จัตุรัสแห่งนี้เคยถูกทำาลายโดยกองทัพ ปืนใหญ่ของฝรั่งเศสจนเกือบราบคาบ แต่สุดท้ายทางการก็ได้ รวบรวมสถาปนิกระดับแนวหน้ามาช่วยออกแบบและฟื้นฟูให้ กลับมางดงามดังเดิม นอกจากนี้ ในทุกๆ 2 ปี จะมีการจัดงาน เทศกาลพรมดอกไม้ (Flower Carpet) ณ ใจกลางจตุรัสแห่งนี้ ซึ่งก็อยากให้หาโอกาสมาเห็นด้วยตาตัวเองเพราะสวยอลังการ มากจริงๆ
เจ้าหนูแมนเนเกน พิส (Manneken Pis) ฮีโร่ตัวจิ๋ว ผู้ช่วยให้บรัสเซลส์รอดพ้นภัยพิบัติ
หลายคนคงเคยคุ้นตากับรูปปั้นเด็กน้อยยืนฉี่ ที่ต้องบอกว่ามีที่มาไม่ธรรมดาเลย “เด็กชายยืนฉี่” หรือ “Manneken Pis” ในภาษาดัตช์ เป็นรูปปั้นหล่อด้วยทองแดงขนาดเล็กประมาณ 60เซนติเมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบรัสเซลส์ ออกแบบโดยเจโรมดูเกอส์นัว (Jérôme Duquesnoy) และนำามาตั้งไว้ในปี ค.ศ.1618 มีหลากหลายตำานานเล่ากันว่า เมื่อครั้งที่กรุงบรัสเซลส์โดนข้าศึกมาบุกรุกและหวังจะทำาลายกำาแพงเมืองด้วยระเบิดเด็กน้อยคนหนึ่งกำาลังปวดฉี่พอดี๊พอดี จึงไปฉี่รดตรงชนวนของระเบิดที่กำาลังติดไฟอยู่ ทำาให้เมืองบรัสเซลส์รอดพ้นหายนะจวบจนทุกวันนี้ ชาวเมืองจึงขอบคุณน้องด้วยการสร้างรูปปั้นไว้เพื่อรำาลึกถึงความกล้าหาญในครั้งนั้น แถมยังมีการแต่งตัวให้รูปปั้นตามเทศกาลหรือโอกาสพิเศษต่างๆ ซึ่งมีถึง 800 ชุดเลยทีเดียวรวมถึงชุดที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศสทรงมอบให้พร้อมกับยศชั้นอัศวินแทนคำาขอโทษ และแฝงนัยทางการเมืองอย่างแยบยลเมื่อครั้งที่กองทัพของพระองค์พยายามขโมยน้องไปจากบรัสเซลส์
ส่วนอีกตำานานหนึ่งก็เล่าว่า น้องปวดฉี่มากจนอั้นไม่ไหว แล้วดันบังเอิญไปฉี่ตรงประตูบ้านแม่มด นางจึงโกรธจัดและ สาปให้น้องนั้นกลายเป็นหินชั่วนิรันดร์ แต่เดชะบุญที่มีชายผู้มี เวทมนตร์มาช่วยถอนคำาสาปให้ ด้วยการสร้างรูปปั้นเหมือน แล้วนำาไปวางแทนที่เด็กน้อย ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาให้น้อง ฟื้นกลับมามีชีวิตชีวาดังเดิม อย่างไรก็ดี หากใครสนใจคอลเลกชันชุดต่างๆ ของน้องแมนเนเกน พิส สามารถไปเยี่ยมชมได้ที่ พิพิธภัณฑ์ GardeRobe MannekenPis
และในเมื่อมีรูปปั้นเด็กผู้ชายแล้วก็ต้องมีรูปปั้นเด็กผู้หญิงฉี่ เพื่อแสดงถึงความเท่าเทียมกันทางเพศและความรักเดียวใจเดียว จึงเป็นจุดกำาเนิดของฌานเนเคอ พิส (Jeanneke Pis) ในปี ค.ศ.1985 รูปปั้นน้องจะหลบอยู่ในตรอกเล็กๆ ใกล้จัตุรัสกร็อง -ปลัส ซึ่งบรรดาคู่รักทั้งหลายที่มาเยือนนิยมโยนเหรียญให้ ลงตรงตำาแหน่งของน้ำาพุที่ไหลออกมาจากตัวน้องเพื่อแสดง ถึงความซื่อสัตย์ที่มีต่อกัน และทางเมืองบรัสเซลส์จะนำา เหรียญจำานวนมากมายเหล่านั้นไปมอบให้องค์กรการกุศล เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ รวมทั้งสนับสนุนงานวิจัยทางด้าน การแพทย์อีกด้วย…ช่างดีงามและช่วยให้ใจฟูยิ่งขึ้นอีก
อะโตเมียม (Atomium) อนุสรณ์สถานแห่งการเปลี่ยนยุคสมัย
อะโตเมียม คือผลงานสร้างสรรค์ที่ผสมผสานระหว่าง สถาปัตยกรรมกับประติมากรรมสมัยใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แลนด์มาร์กสำาคัญของกรุงบรัสเซลส์ที่นักท่องเที่ยวจาก ทั่วโลกจะต้องแวะมาเที่ยวชมให้ได้ เพราะถ้าไม่มาที่นี่ก็ เหมือนว่ามาไม่ถึง สำาหรับประติมากรรมโมเดิร์นชิ้นยักษ์ นี้ได้รับเเรงบันดาลใจจากรูปทรงของอะตอมขนาดใหญ่ จำานวน 9 ลูก สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดงาน World Expo ในปี ค.ศ. 1958 ซึ่งประเทศเบลเยียมเป็นเจ้าภาพ โดยใช้เวลาก่อสร้างเกือบ 2 ปี ตามความจริงแล้ว อะโตเมียม จะต้องถูกรื้อถอนหลังจบงานเวิลด์เอ็กซ์โป แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่มีบริษัทใดมารับเหมางานรื้อถอนเนื่องจากค่อนข้างซับซ้อน รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างนี้เริ่มได้ใจชาวบรัสเซลส์ไปทีละนิดด้วยความวิบวับแวววาวและรูปทรงอันสุดล้ำา กลายเป็นอนุสรณ์สถานหรือสัญลักษณ์ที่สะท้อนการก้าวกระโดดของเบลเยียมสู่เทคโนโลยียุคใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยอะตอมขนาดใหญ่เเต่ละลูกถูกจัดสรรพื้นที่ไว้อย่างน่าสนใจ มีจุดชมวิวที่เราสามารถขึ้นไปชมความสวยงามของทิวทัศน์เมืองหลวง นอกจากนี้ยังใช้จัดเเสดงงานศิลปะต่างๆ รวมถึงร้านอาหารที่ตกแต่งสวยงามเเปลกตาถือว่าเป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมที่ประสบความสำาเร็จที่สุดอีกชิ้นหนึ่ง และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศมากมาย เราจึงยกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 60 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่
สำหรับลูกค้าในประเทศ