กว่าจะมาเป็น หอมนสิการ
เมืองรองแบบจังหวัดสระบุรี กำลังมีสถานที่ท่องเที่ยว แห่งใหม่ที่โดดเด่น และจะกลายเป็นสถานที่สำคัญ แห่งประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้มาเยือนจะได้ย้อนเวลาสู่ยุคพุทธกาล ไปกับสถานที่ท่องเที่ยวริมเทือกเขาพระพุทธบาทน้อย จ.สระบุรี ที่ร้อยเรียงพุทธประวัติและคำสอนแห่งพระพุทธองค์ ในรูปแบบ นิทรรศการ “มรรคาแห่งพระพุทธเจ้า” ใน “หอมนสิการ” เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางจิตวิญญาณในแบบที่ไม่มี ใครเหมือนเลยก็ว่าได้ และเป็นที่ที่เราจะได้อะไรมากกว่าการไป เที่ยวทำบุญสุดสัปดาห์ ฉีกกฎการเที่ยวแบบเดิมๆ อย่างแน่นอน
เมื่อพูดถึงสระบุรี สิ่งแรกที่คนมักนึกถึง คือ น้ำตกเจ็ดสาว น้อย อ่างเก็บน้ำมวกเหล็ก ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ถ้าสาย ตระเวนทำบุญก็ต้อง รอยพระพุทธบาท และประจวบเหมาะ พอดีที่สถานที่นี้อยู่ในอำเภอแก่งคอย อันเป็นที่ตั้งของรอย พระพุทธบาทน้อยเช่นกัน แถมอยู่ใกล้กันมาก โดยใช้เวลาขับรถ ไม่เกิน 15 นาที
เมื่อแรกเห็น หอมนสิการแห่งนี้ตั้งตระหง่านราวกับวิมาน อยู่เบื้องหน้า ตัวอาคารสีขาวแบบสถาปัตยกรรมร่วมสมัยอัน วิจิตร มีภูเขาหินปูนสูงใหญ่และหนักแน่นเป็นฉากหลัง รับกัน เป็นอย่างดีกับตัวอาคาร และเมื่อเข้าสู่ด้านใน เราสัมผัสได้ถึง ความสงบในใจที่บรรยายไม่ถูก ยิ่งได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ เราก็ยิ่งรู้สึกทึ่งกับความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้
สิ่งที่ทำให้หอมนสิการมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง และควร เป็น Must-go place คือรูปแบบการนำเสนออิงมุมมองของ ชาวพุทธและคนทั่วไปที่สนใจพุทธศาสนา แต่ยังคงมีคำถาม ที่หาคำตอบไม่ได้ เช่น ทำไมพระพุทธเจ้าถึงทรงทิ้งครอบครัว ออกผนวช แก่นของศาสนาพุทธคืออะไร ทำไมต้องปฏิบัติธรรม
หอมนสิการเป็นหนึ่งในโครงการภายใต้มูลนิธิโนอิ้ง บุดด้า เพื่อการปกป้องพระพุทธศาสนา ที่หัวใจหลักของมูลนิธิคือ การ หยุดยั้งการลบหลู่พระบรมศาสดา ผ่านพระสัญลักษณ์ทุกรูป แบบ และหอมนสิการถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์หลัก คือ
- เพื่อเทิดพระเกียรติ และแสดงความนอบน้อมกตัญญู ถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ 23 พระองค์ พระพุทธรูป พระบรมโลกนาถ และภาพปักพระบรมโลกนาถ
- เพื่อจัดแสดงนิทรรศการสื่อผสม “Journey to the life of Buddha” วิถีแห่งความเสียสละกว่าที่พระพุทธองค์จะบรรลุ เป็นพระพุทธเจ้า
- เพื่อเป็นสถานที่สำหรับฝึกสมาธิเบื้องต้น และเผยแผ่ หลักธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา โดยมาจากดำริของอาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล วิปัสสนาจารย์และผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ผู้มีปณิธานในการปกป้องพระเกียรติ พระบรมศาสดา ที่ถูกลบหลู่ไปทั่วโลก จากการปฏิบัติต่อ พระพุทธรูปและพระสัญลักษณ์ในทางที่ผิด หอมนสิการ ใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 5 ปี มีมูลค่าประมาณ 40 ล้าน บาท โดยเงินทุนนั้นมาจากเงินส่วนตัวของผู้ก่อตั้ง และเงิน บริจาคของศิษย์วิปัสสนาและผู้มีจิตศรัทธาร่วมกัน ซึ่งได้ทีม งานระดับมืออาชีพในทุกสายงาน ทั้งผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้ ออกแบบ ครีเอทีฟ ศิลปิน รวมถึงงานโปรดักชั่นในระดับ ที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์จริง มาร่วมสร้างสรรค์โครงการ ให้เป็นรูปเป็นร่าง
พุทธประวัติในมุมที่ไม่เคยมีใครนึกถึงมาก่อน
ผู้มาเยือนจะพบกับศิลปะอันงดงามร่วมสมัย ที่จะนำพา ทุกคนย้อนสู่ยุคพุทธกาล และเส้นทางแห่งการตรัสรู้ของ พระพุทธเจ้าด้วยภาพ แสง สี เสียงบรรยาย และวิดีโอสื่อผสม ที่บอกเล่าเรื่องราวเส้นทางแห่งการเสียสละของพระพุทธเจ้า ในรูปแบบร่วมสมัย ให้ผู้เข้าชมได้รู้สึกมีส่วนร่วม ค่อยๆ ซึมซับ ไปกับการเดินทางอันยิ่งใหญ่ของเจ้าชายสิทธัตถะ และการ บำเพ็ญอันอุกฤษฏ์กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้า
ในส่วนงานออกแบบทั้งหมด อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล ประธานมูลนิธิ เป็นผู้วางแนวคิดโครงการ รูปแบบงาน สถาปัตยกรรมภายนอก และภายใน รวมถึงออกแบบร่าง สถาปัตย์แรกเริ่ม โดยได้คุณนาคนิมิต สุวรรณกูฏ ซึ่งเป็นทายาท ของศิลปินชั้นครูระดับตำนาน คุณไพบูลย์ สุวรรณกูฏ ผู้เป็นศิษย์ รุ่นแรกและใกล้ชิดกับศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี มาต่อยอด รับ พุทธประวัติในมุมที่ไม่เคยมีใครนึกถึง มาก่อน และผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ผู้มีปณิธานในการปกป้องพระเกียรติ พระบรมศาสดา ที่ถูกลบหลู่ไปทั่วโลก จากการปฏิบัติต่อ พระพุทธรูปและพระสัญลักษณ์ในทางที่ผิด หอมนสิการ ใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 5 ปี มีมูลค่าประมาณ 40 ล้าน บาท โดยเงินทุนนั้นมาจากเงินส่วนตัวของผู้ก่อตั้ง และเงิน บริจาคของศิษย์วิปัสสนาและผู้มีจิตศรัทธาร่วมกัน ซึ่งได้ทีม งานระดับมืออาชีพในทุกสายงาน ทั้งผู้กำกับภาพยนตร์ ผู้ ออกแบบ ครีเอทีฟ ศิลปิน รวมถึงงานโปรดักชั่นในระดับ ที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์จริง มาร่วมสร้างสรรค์โครงการ ให้เป็นรูปเป็นร่าง หน้าที่เป็นศิลปินและผู้ออกแบบลวดลายสถาปัตยกรรม และ ให้คำปรึกษาตกแต่งภายใน รวมไปถึงระบบแสง สี เสียง ของ นิทรรศการ โดยแบ่งการจัดแสดงภายในหอมนสิการเป็น 3 โซน
โซนที่ 1 นำเสนอนิทรรศการสื่อผสม “การจำลอง มรรคา ของพระพุทธเจ้า – Journey to the Life of Buddha” วิถีแห่ง ความเสียสละ กว่าที่พระพุทธองค์จะทรงบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ในบรรยากาศแบบโบราณแต่ทันสมัย ผ่านการจัดแสดงงานแบบ Interactive ให้ผู้มาเยือนได้มีส่วนร่วม และได้อิ่มเอิบทุกอณูผ่าน การรับรู้ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ที่ร้อยเรียงพุทธประวัติช่วงสำคัญของ พระพุทธองค์ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ออกเดินทางค้นหา การฟันฝ่า อุปสรรค ไปจนถึงตรัสรู้ ทุกช่วงระหว่างการเดินชมนิทรรศการ จะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำ และมีหูฟังใช้สำหรับฟังคำบรรยายใน ช่วงต่างๆ ทำให้เรารู้จักพระพุทธเจ้าในแบบที่ไม่เคยนึกมาก่อน และได้สัมผัสถึงความรู้สึกนึกคิดของพระองค์ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งความเมตตาอันยิ่งใหญ่ ทำให้รู้สึกซาบซึ้งลึกไปถึงภายในจิตใจ ตลอดการรับชม
งานส่วนสร้างสรรค์ภาพและโปรดักชั่นนั้น มีความสมจริง จนเหลือเชื่อ จนลืมภาพนิทรรศการแนวที่เคยเห็นไปเลย เพราะ การจัดแสดงงานในระดับมืออาชีพนี้ ให้อารมณ์ราวกับเหมือนเรา ได้หลุดไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ ซึ่งเรามารู้ภายหลังว่า ผลงานบางส่วน นี้เป็นของ คุณจิระวุฒิ ศิริจันทร์ อดีตช่างภาพใหญ่ของนิตยสาร IMAGE และคุณโบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์ นักแสดง ที่ร่วมเป็น หัวหอกผลักดันภาพร่างให้กลายเป็นความจริง
การค่อยๆ ซึมซับพระพุทธประวัติไปตามห้องต่างๆ มีห้อง สำคัญที่อยากกล่าวถึงคือ ห้องพุทธกาล ช่วงที่ 5 “คืนนั้นกลาย เป็นเช้าวันใหม่ของมวลมนุษยชาติ” คือภาพขณะเจ้าชาย สิทธัตถะทรงม้ากัณฐกะเสด็จออกจากพระราชวัง เพื่อออกสู่ เส้นทางแห่งการหลุดพ้นทั้งปวง
ห้องถัดมา พุทธกาล ช่วงที่ 6 “การทรมานร่างกายครั้ง ประวัติศาสตร์” จัดแสดงหุ่นขี้ผึ้ง (เสมือนจริง) พระพุทธองค์ ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ตามความเชื่อในแบบลัทธิดั้งเดิม จนพระ- วรกายผ่ายผอม ทำให้ผู้เยี่ยมชมซาบซึ้ง น้อมถึงความลำบาก พากเพียรของพระพุทธองค์ เพื่อนำธรรมแห่งการหลุดพ้นมา สอนสั่ง จนกระทั่งเราเดินสู่ห้องพุทธกาล ช่วงที่ 7 “การค้นพบทางหลุดพ้นและความจริงอันสูงสุดของสรรพสิ่ง” เป็นการนำเสนองานวิดีโอ ถ่ายทอดค่ำคืนอันสุดยิ่งใหญ่ที่ทำให้เรามีพุทธ บิดา ผู้เปิดเส้นทางแห่งความรู้แจ้งและการตัดวงจรสังสารวัฏ
กราบพระในแบบชาวพุทธแท้
โซนถัดมาที่ทำให้เราตะลึงงันคือ หอกราบ หรือ หอจัตุรัส ที่งามอร่ามไปด้วยห้องสีทอง ตัดกับผนังบุผ้าไหมสีแดง มีความ ละเอียดลออ สง่างาม และคลาสสิก ราวกับอยู่คนละมิติกับโถง ที่ผ่านมา บรรยากาศเบื้องหน้างดงามวิจิตรตระการตาในแบบที่ ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ทั้งหมด หากแต่ต้องไปสัมผัสด้วย ตนเอง
หอนี้ เป็นที่ประดิษฐาน “พระบรมโลกนาถ” พระพุทธรูป ขนาดหน้าตัก 30 นิ้ว ปิดทองคำบริสุทธิ์งดงามผุดผ่อง โดยหนึ่ง ในมวลสารที่ใช้หล่อพระพุทธรูปองค์นี้นั้น คือ มวลสารดินจาก กุสินารา และทองคำบริสุทธิ์ จำนวน 25 แท่ง โดยแบ่งเป็น น้ำหนัก 5 บาท 1 แท่ง และ น้ำหนัก 1 บาท 24 แท่ง เป็นมวลสารหลัก และมีผู้ศรัทธาจำนวนมากได้นำทองมาร่วมหล่อองค์พระด้วย โดยมี พิธีเททองหล่อพระอย่างยิ่งใหญ่ ณ บริเวณหน้าหอมนสิการ
องค์พระบรมโลกนาถนั้น เป็นพระพุทธรูปศิลปะแบบอินเดียที่มีลักษณะ เสมือนจริงกับมนุษย์ เพื่อให้ผู้บูชาสามารถน้อมจิตได้ใกล้ชิดพระพุทธองค์ใน แบบกายเนื้อมนุษย์มากยิ่งขึ้น ต่างจากพระพุทธรูปที่เรามักพบเห็นและนิยม สร้างในประเทศไทย โดยพระพักตร์ งดงามและสงบเย็น พระเนตรเปี่ยมด้วยพระเมตตา ยังความสงบเมื่อได้มอง
นอกจากนี้ หอจัตุรัสยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาใน 3 วาระ รวม 23 พระองค์ โดยบุษบกที่ประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุ เป็นศิลปะสมัยอยุธยา และภาพปักพระบรมโลกนาถที่ปักโดยคุณสุวลักษณ์ เสนานุช ผู้เป็นศิษย์วิปัสสนาและเป็นนักปฏิบัติภาวนาที่จริงจังอย่างมากท่าน หนึ่ง ภาพปักมีจำนวนฝีเข็มกว่า 651,000 ฝีเข็ม ใช้ไหมทั้งหมด 49 สี ปักครั้งละ 3 เส้น (ปกติทั่วไปจะใช้ 2 เส้น) มีความหมาย คือ พระรัตนตรัย เส้นที่ 1 แทนพระพุทธ เส้นที่ 2 แทนพระธรรม และเส้นที่ 3 แทนพระสงฆ์ ตลอดระยะเวลาการปักกว่า 8 เดือน ผู้ปักถือศีล 8 และทุกฝีเข็มบริกรรม คำว่า “นิพพาน”
นอกจากการกราบสักการะพระปฏิมาและพระสัญลักษณ์ แห่งพระพุทธองค์แล้ว ควรใช้เวลาซึมซับศิลปะอันตระการตา เพราะภายในหอจัตุรัสแห่งนี้ยังมีรายละเอียดอันน่าทึ่ง อย่างผ้า ไหมสีแดงที่เห็น เป็นผ้าไหมแท้ที่ทอโดยบริษัท Antico Setificio Fiorentino จากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ก่อตั้งมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1786 หรือกว่า 230 ปีมาแล้ว บริษัทแห่งนี้ทอผ้าไหม ให้กับพระราชวัง และพิพิธภัณฑ์สำคัญหลายแห่งทั่วโลก อาทิ พระราชวังเครมลิน และพิพิธ-ภัณฑ์อุฟฟีซี สถานที่จัดแสดงงาน ศิลปะอันเลื่องชื่ออย่าง Birth of Venus ของ Botticelli
ส่วนที่เราเห็นเป็นสีทองอร่ามนี้เป็นการติดด้วยแผ่นทอง ฐานประดิษฐ์องค์พระปิดด้วยแผ่นทองคำแท้ ลวดลายรอบหอ และซุ้มประตูปิดด้วยแผ่นทองคำวิทยาศาสตร์ ความพิเศษคือ ทองทั้งหมดนี้ถูกปิดโดยผู้ปฏิบัติธรรมหลายร้อยคนด้วยความ ตั้งใจ หลังจากที่ได้รู้จักกับพระพุทธเจ้าในแง่มุมใหม่ที่ไม่เคยคาด คิดมาก่อน เรารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก และภูมิใจในความเป็น พุทธขึ้นอีกโข การกราบพระครั้งนี้ ความรู้สึกอยากขอโน่นนั่นนี่ ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอยากขอบคุณอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกดีมากจริงๆ
โซนสุดท้าย จะเป็นยุคปัจจุบันกาล ในรูปแบบของ Modern Photo Gallery ที่ให้คติธรรม และสะท้อนความ จริงให้เราได้ฉุกคิดถึงความหมายและการดำเนินชีวิต ส่วนนี้ถ้า สังเกตดีๆ แต่ละภาพจะมีปริศนาที่ซ่อนอยู่ เป็นเรื่องราวที่เชื่อม โยงกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน ให้เราเห็นภาพและเข้าใจสัจธรรม ความจริงที่กระจ้างแจ้งพุ่งตรงสู่ใจ
เกี่ยวความทรงจำ ซึมซับธรรมชาติ
นอกจากตัวอาคารหลัก หอมนสิการ ที่นี่ยังมีกลุ่มอาคาร ต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาสอดรับกันได้อย่างลงตัว คือ อาคารต้อนรับ มีคาเฟ่ให้นั่งจิบกาแฟ เครื่องดื่ม ในบรรยากาศสบายๆ นั่งชมวิว ภูเขา และมีสินค้าของที่ระลึกหลากหลาย ทั้งเสื้อที่ระลึก หมวก กระเป๋า ภาพแคนวาส โปสเตอร์ ปากกา จนถึงแก้วชา กาแฟที่ ระลึก ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกออกแบบขึ้นใหม่ให้เป็นสินค้าเฉพาะของ หอมนสิการที่นี่ที่เดียวเท่านั้น
อาคารถัดมา คือ อาคารนิทรรศการ Spiritual Life นำาเสนอกิจกรรมรณรงค์ของมูลนิธิโนอิ้ง บุดด้า เพื่อการปกป้องพระพุทธศาสนา ว่าเหตุใดเราถึงต้องร่วมกันปกป้องพระพุทธองค์ ซึ่งเปรียบดังพุทธบิดาของชาวพุทธทั้งปวง
สำาหรับผู้ที่สนใจการปฏิบัติสมาธิ ในบริเวณหอมนสิการยัง มีอาคารนั่งสมาธิ โดยมีอาจารย์แนะนำาการนั่งสมาธิเบื้องต้นให้ ด้วย สามารถขอข้อมูล ปรึกษาปัญหา ซักถามข้อสงสัยในการ ปฏิบัติได้ และหากมีความสนใจเพิ่มเติม ก็สามารถสมัครอบรม สมาธิอานาปานสติได้เช่นกัน
นอกจากการเยี่ยมชมหอมนสิการและส่วนต่างๆ แล้ว ที่ นี่ยังมีร้านค้า ซึ่งขายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ไปจนถึงสินค้าจากผู้ ปฏิบัติธรรม เช่น กระเป๋า งานจักสาน ผ้าพันคอ ของอุปโภค บริโภค ชา กาแฟ และเครื่องดื่มต่างๆ อีกด้วย
นอกจากความสวยงามของหอมนสิการที่ไม่อยากละ สายตาแล้ว บริเวณใกล้เคียงที่ห่างออกไปเพียง 2 นาที ยังมี สถานที่ผ่อนคลายกายและใจ นั่นคือ The Harmony Tearoom & Pim-piman Restaurant เป็นคาเฟ่และห้องอาหารริมเทือก เขาหนึ่งเดียวในสระบุรี ขอแนะนำาเลยว่า สำาหรับสายคาเฟ่จิบ ชากาแฟแบบลักซูรี ต้องไม่ลืมที่จะแวะไป หากใครมีเวลาขับรถ ต่อไปอีกหน่อย แก่งคอยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ชิดธรรมชาติ อาทิ วัดถ้ำาบ่อปลา วัดพระพุทธบาทน้อย ซึ่งมีรอยพระพุทธบาท อันศักดิ์สิทธิ์
วันนี้ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เมืองเล็กๆ กำาลังจะกลายเป็น เมืองแห่งความสุขที่ใหญ่มาก ได้ทั้งความสุขกาย สงบใจ เหมาะ สำาหรับทริป 1 วันแบบอิ่มเอิบใจและไม่ธรรมดา ทั้งยังใกล้กรุง ขับรถจากกรุงเทพฯ เพียงแค่ 90 นาทีเท่านั้น บอกได้คำาเดียวว่า เป็น “One and Only” จริงๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม: www.manasikarn.com
IG/FB: หอมนสิการ manasikarn