กายสังขารเป็นผลมาจากกรรมที่เป็นเครื่องปรุงแต่ง ให้เรามีรูป คำาว่า “รูปงามหรือสง่างาม” เป็นผล มาจากการที่บุคคลนั้นเคยเสียสละอย่างยิ่งมาก่อน ยิ่งสง่างามมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสละมามากเท่านั้น
ความสง่างามกับความมีรูปงามนั้นต่างกัน คนมี รูปงามแต่ไม่สง่านั้นมีมากมาย การที่คนมีรูปงามก็เพราะ เป็นผู้ไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือเป็นผู้มีศีลธรรมจรรยา ไม่ว่า จะเป็นคนพุทธหรือต่างศาสนา หากบุพกรรมเดิมเขาไม่ เบียดเบียนผู้ใด ก็ทำาให้เขามีรูปงามได้ แต่ความสง่างาม เป็นการส่งผลของกรรมดีที่เกิดจากการเสียสละ
เมื่อจิตสละซึ่งความหวงแหนในสิ่งใดสิ่งหนึ่งและ ทำาคุณเพื่อส่วนรวม เมื่อได้อัตภาพความเป็นมนุษย์ใหม่ วิญญาณที่ก่อให้เกิดนามรูปมีก้อนเนื้อพัฒนาออกเป็น สฬายตนะ คืออวัยวะทั้ง 6 ก็โปร่งโล่ง และทำาให้รูป โดยรวมนั้นสง่างาม หาข้อบกพร่องยาก เกิดมีความสง่า ติดมากับจิตที่เห็นได้ผ่านกาย สฬายตนะ คือ อายตนะ ภายในทั้ง 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นทางผ่าน ทำาให้เกิดผัสสะหรืออารมณ์ที่เชื่อมต่อ กับอายตนะภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ด้วยจิตที่รู้จักเสียสละ ไม่ใช้ชีวิตโดยมุ่งแต่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว ทำาให้การ ก่อรูปมีความงามสง่า เป็นที่นิยมและเคารพต่อบุคคล หมู่มาก ซึ่งจะมากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกำาลังบุญที่ได้ ประกอบเช่นกัน บางคนมีจิตเสียสละ แต่งานที่เขาสละ ทุ่มเททำาให้นั้นไม่เป็นเนื้อนาบุญอย่างยิ่ง ผลที่ได้ก็น้อย กว่าการเสียสละที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อประเทศ ชาติหรือพระศาสนา
ความสง่านี้เป็นสิ่งที่บุคคลจะสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก ในแบบที่ไม่อาจตีลงไปว่า ทำาไมจึงรู้สึกว่าบุคคลนั้นมี ความสง่า นั่นก็เพราะกระแสจิตของเขาเปล่งรัศมีหรือ ที่เรียกว่าออร่าออกมาจนไปกระทบความรู้สึกผู้พบเห็น จึงรู้สึกถึงความสง่าและบารมีที่อยู่ในตัว ความสง่าไม่ได้ หมายถึงส่วนสูง คนมากมายที่มีรูปร่างสูงโปร่งแต่ไม่สง่า คนบางคนดูสง่าได้ก็เพราะปรุงแต่งกายให้ดูเป็นเช่นนั้น เช่น ดารา นายแบบ นางแบบ แต่พอถอดเครื่อง ปรุงแต่งออก ความสง่าที่แท้จริงก็หายไป ความสง่า ไม่ได้หมายถึงคนสวย คนหล่อ คนหน้าตาดีมากมายที่ ไม่มีความสง่า ไม่ว่าจะใส่รองเท้าให้สูงเพียงใด ก็หาได้ มีกระแสความสง่าออกมาจากตัวไม่ แต่ความสง่าที่เกิด จากบุพกรรมดีนี้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะสวมใส่อาภรณ์แบบใด มียศ มีเหรียญตรา หรือเพียงเสื้อผ้าธรรมดา แต่รัศมีแห่งความงามสง่าก็จะฉาดฉายมาจนรู้สึกได้ นี่คือความสง่า ที่เกิดจากกุศลกรรมที่ทำามาอย่างแท้จริง
ความเสียสละมานับอสงไขยของพระบรมศาสดา ทำาให้พระวรกายของพระองค์เป็นมหาปุริสลักษณะที่ สมบูรณ์แบบและเพียบพร้อม ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ใน บารมี ในแบบของผู้ที่จะสำาเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระวรกายที่เปล่งปลั่งสง่างาม ขนาดนางสุชาดาผู้ถวาย ข้าวมธุปายาสให้พระองค์ยังนึกว่าทรงเป็นเทวดา
ที่ยกเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะอยากกล่าวให้เห็นถึงกรรม ที่มาประกอบเป็นรูปร่างของบุคคลใดบุคคลหนึ่งว่า หาใช่ แค่มาจากดีเอ็นเอที่สืบพันธุกรรมจากพ่อแม่เท่านั้น นั่น เป็นส่วนทางกายภาพ แต่ในส่วนของจิตวิญญาณที่สะสม กรรมดีไว้ เป็นปัจจัยสำาคัญที่ทำาให้มนุษย์มีรูป มีปัญญา มีฐานะ ต่างกันออกไป ต่อเมื่อในภพนี้ใช้ชีวิตอย่างมี ศีลธรรม เขาก็จะยิ่งมีชีวิตที่ดียิ่งๆขึ้นไป ไม่เป็นผู้มามืด ไปมืด หรือมาสว่างไปมืด แต่เป็นผู้มามืดไปสว่าง และ มาสว่างไปสว่าง และหากมีความเสียสละต่อส่วนรวม เป็นที่ตั้งแล้ว ก็จะยิ่งส่องสว่างและทำาให้เป็นผู้งามสง่า และเพิ่มพูนบารมียิ่งๆขึ้นไป
บุคคลจะบรรลุธรรมได้ก็ด้วยรู้จักการเสียสละ หาก ได้แต่ใช้ชีวิตเพื่อแสวงหาความสุขส่วนตนเป็นที่ตั้ง กอดรัด ทรัพย์สมบัติไว้ด้วยความหวงแหน คอยแต่จะปรนเปรอสุข เฉพาะแก่ตนเองและคนในครอบครัว ไม่รู้จักแบ่งปันเพื่อ เกื้อกูลส่วนรวม ย่อมไม่เกิดเป็นบารมีแต่อย่างใด และ ความสำาเร็จในธรรมขั้นสูงย่อมไกลห่าง เพราะธรรม ขั้นสูงคือธรรมของการสละคืน
สิ่งทั้งปวงไม่พึงยึดมั่นถือมั่น พระบรมศาสดาทรง สอนไว้