อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล
ในระหว่างการภาวนาครั้งหนึ่ง จิตอาจารย์ได้ลงไปยังคลื่นพลังงานชั้นละเอียดที่เป็นคลื่นสัญญาของกระแสกรรมวิบากที่กำลังพุ่งมาสู่ชีวิต จากนั้นความทรงจำ ที่เคยกระทำกรรมต่อบุคคลอื่นก็ผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย แต่ผุดขึ้นมาอย่างบางเบา ต่างจากการเผาลงไปในกองสังขาร
หากบุคคลยังมีกองสังขารอยู่ เวลาระลึกถึงกรรมได้จะระลึกได้พร้อมกับการมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมด้วย แต่ผู้ที่พ้นจากกิเลสแล้ว เมื่อไม่มีจิตสังขารที่เป็นเชื้อให้ไปเกิดใหม่ ก็เหลือแต่พลังของกายสังขารที่ยังเป็นตัวรับผลของกรรมได้ การภาวนาต่อไปจะทำให้เข้าถึงกระแสกรรมวิบากที่ปรากฏในรูปของสัญญาหรือความทรงจำให้รู้ว่ากระแสวิบากที่กำลังมาถึงนั้นเกิดจากการทำกรรมไว้กับผู้ใดบ้าง จากนั้นจิตก็ไล่เรียงขึ้นมาเป็นชื่อแต่ละชื่อ ซึ่งล้วนแล้ว แต่ลืมไปแล้ว และยังปรากฏเรื่องราวของผู้ที่กำลังมาชดใช้กรรมต่ออาจารย์ ให้ได้รู้รายละเอียดของเหตุผลต้นกรรมชัดเจนขึ้นว่า บุคคลบางคนที่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตผู้นี้ เหตุใดจึงได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น เหตุแห่งกรรมประการสำคัญก็คือ ในภพที่เกิดเป็นงูเขาได้สาปแช่งและอาฆาตต่ออาจารย์ไว้ จากการที่อาจารย์ในภพนั้นได้ทำลายชีวิตผู้เป็นที่รักของเขาไปโดยไม่ได้เจตนา
ด้วยการตั้งจิตอธิษฐานที่แรงมากไว้ในครานั้น จึงทำให้เขาได้ ตามมาเกิดในแบบได้ใกล้ชิดในอีกหลายภพชาติเพื่อจะล้างแค้น แต่เมื่อเขาได้รับการปฏิบัติด้วยดี บางชาติก็กลับใจได้ ก็ผูกจิตขอติดตามมาเกิดอีก แต่ด้วยจิตอาฆาตพยาบาทแรงในครานั้นไม่ได้รับการชำระไป ทำให้แม้จะมาอยู่ในฐานะที่ดีอย่างไร ก็ยังมีกระแสกรรมตามมาทำให้เขาพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความรู้สึกคับแค้นใจอยู่เสมอ
เมื่อเผากระแสวิบากนั้นแบบถอนรากถอนโคนต่อไป กระแสนั้นก็อ่อนแรงลง ทำให้วิบากที่กำลังจะมาเสวยอ่อนแรงลงไป ยิ่งตอกย้ำชัดยิ่งขึ้นว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น หากจิตมีพลังในการภาวนา ก็สามารถทอนกระแสวิบากให้เบาบางลงได้
ทุกอย่างนั้นเกิดแต่เหตุที่เคยหว่านเอาไว้ ต้องน้อมจิตให้พ้นจากการจองเวร ส่วนผู้ที่อยู่ในมุมเป็นผู้กระทำต่อบุคคลอื่นด้วยจิต ที่ไร้ความเมตตาปรานี ก็ต้องเอาชนะพลังความมืดบอดที่กำลังผลักดันตนเองให้ทำ เช่นนั้น ทั้งสองฝั่งต่างต้องผ่านบททดสอบนั้นๆ ให้ได้
เมื่อภาวนาต่อไป กระแสกรรมที่มีรากมืดดำ ก็ปรากฏให้แจ้งในคำที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า “กรรม คือกระแสพลังงานผลักดัน” เพราะสิ่งที่เห็นในจิตปรากฏเป็นต้นไม้ใหญ่มาก และในต้นไม้นั้นก็เป็นที่สะสมรวมตัวกันของพลังมืดต่างๆ ที่เมื่อกระแสนั้นมาถึง ผู้ใดพลังมืดที่แฝงตัวอยู่ในกระแสนั้นก็จะผลักดันให้เหตุการณ์ ร้ายเกิดขึ้น ยกตัวอย่าง… หากนายเออยู่ในช่วงที่กรรมวิบากกำลัง จะมาเสวย พลังมืดที่มาพร้อมกับกระแสกรรมนั้นๆ ก็จะผลักดัน ให้นายเอมีเหตุให้ต้องไปอยู่ใกล้กับนายบี ซึ่งเป็นผู้ที่มีกรรมพัวพันกันมา แล้วนายบีเกิดรู้สึกไม่ชอบหน้านายเอขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล ไม่ว่านายเอจะพูดอะไรก็จะรู้สึกขวางไปทุกเรื่อง พูดไปพูดมาเกิดบันดาลโทสะ ก็ถึงกับทำ ร้ายนายเอจนบาดเจ็บในรูปการณ์ที่คล้ายกันกับที่นายเอเคยทำกรรมไว้ในอดีต อีกกรณีแม้จะไม่มีคู่กรณีเป็นตัวบุคคล แต่เมื่อกระแสวิบากโถมใส่ จู่ๆ ก็เดินตกบันไดลงมา จนบาดเจ็บเลือดอาบได้ นั่นก็เพราะเมื่อมีรหัสกรรมฝังอยู่
นี่คือวิธีการส่งผลของกรรมในเชิงกระแสพลังงาน
ขึ้นชื่อว่าอกุศลกรรม ก็คือพลังที่เต็มไปด้วยความมืดบอด กระแสนี้จึงเป็นคลื่นเหนี่ยวนำ พลังมืดที่อยู่ในมิติวิญญาณมาสะสม อยู่ในกระแสนั้น จนเป็นตัวผลักดันให้เกิดเป็นการกระทำ ที่เป็นอกุศลวิบากขึ้น พลังมืดนั้นจะกล่าวว่ากิเลสก็ไม่เชิง เพราะกิเลสคือ พลังงานที่ฝังแฝงอยู่ในจิตของแต่ละคน แต่พลังมืดนี้ฝังแฝงอยู่ในกระแสพลังงานที่เป็นกระแสวิบาก ซึ่งมีกระแสเชื่อมไปยังผู้ที่เคยกระทำ กรรมนั้น เมื่อถึงเวลาก็มาส่งผล สนองผลแล้วพลังมืดนั้นก็อ่อนแรงลงไป จากนั้นจิตก็ขึ้นคำว่า “กรรมบงการ”
จิตแจ้งถึงแรงกรรมของผู้ที่ผูกจิตอาฆาตพยาบาทและมีความยึดมั่นถือมั่นสูงมากว่า ด้วยแรงจิตแรงกรรมนั้นมีพลังสูงมาก ทำให้เมื่อมีกายสังขาร รูปกายก็ขยายตัวออกมาเพื่อรองรับน้ำหนักจิตที่อัดแน่นไว้ด้วยความมืดบอดมาก จนกลายเป็นสัตว์ที่มีลำตัวขวาง และอยู่ติดชิดพื้นดินที่เป็นจุดเกิดเหตุให้ทำกรรมนั้น ทำให้รู้สึกเมตตาสงสารยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ที่ไม่อาจถอดถอนจิตอาฆาตพยาบาทรุนแรงได้ คือผู้ที่สร้างภพภูมิของสัตว์เดรัจฉานรออยู่
มนุษย์และสัตว์นั้น ล้วนเป็นเหยื่อการกระทำของตนเอง การกระทำใดที่เกิดจากการไม่สามารถหักห้ามใจ การไม่รู้จักยั้งคิด พิจารณา ตั้งใจเบียดเบียนผิดศีล การกระทำที่เกิดจากการ “ตั้งใจ” นี่แหละ เป็นกระแสพลังงานที่ทำให้พลังการส่งผลกรรมแรงกว่า การกระทำที่เกิดจากการกระทำที่ไม่ได้เจตนา
หากเราประคองสติให้มั่นคง รู้เท่าทันความคิดและการกระทำของตน ชีวิตจะหยุดกระทำอกุศลกรรมได้ เพราะพลังของสัมมาสติ ในการแปลงสัญญาณทางมิติพลังงานจะกลายเป็นกรรไกรตัดกระแสร้ายที่กำลังพรั่งพรูให้จิตพลั้งเผลอให้ขาดลง หากมีสัมปชัญญะคือ ความรู้ชัดสำทับอีกขั้น จิตจะหยุดยั้งความคิดและการกระทำที่เป็นอกุศลได้ทันที และคิดแก้ไขตนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อความคิดอกุศลอีกด้วย
เมื่อใดที่ต้องประสบกรรมตามสนอง หากตั้งใจน้อมจิตคิดถึงกุศลกรรมที่บำเพ็ญไว้แล้ว จิตจะเกิดกำลังใจขึ้นมารับมือกับกรรม การตั้งจิตคิดถึงกุศลกรรมที่เคยทำไว้ย่อมมีกระแสโลกุตระมาเกื้อหนุน ทำให้ได้รับโอกาสพบหนทางแก้ไข ผ่อนหนักให้เป็นเบา การทำคุณงามความดีที่มีกำลังสูง ย่อมเป็นเครื่องประคองชีวิต และเป็นเกราะคุ้มกันภัยเมื่อถึงคราที่ประสบกรรมวิบาก ทำให้ไม่รู้สึกท้อถอยต่อโชคชะตาจนลุกขึ้นมายืนสู้ใหม่ไม่ได้
การกระทำของเราเองคือเครื่องกำหนดชะตาชีวิต แม้ไม่อาจย้อนกาลเวลาไปแก้ไขการทำกรรมในอดีต แต่เมื่อวันนี้ยังเป็นผู้มีลมหายใจอยู่ ปัจจุบันขณะจะสร้างจุดหักเหของชีวิตจากต่ำไปสูง จากการเผชิญอกุศลวิบากไปสู่การได้รับรางวัลจากความดีที่ทำไว้ อย่างไม่ย่อท้อ เมื่อเราปรารถนาที่จะพ้นจากแรงบงการนี้ ก็ต้องบำเพ็ญกุศลกรรมในระดับสูง คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่จะพาจิตให้พ้นจากคลื่นกรรมและคลื่นวัฏฏะ
จะพ้นจากวิถีกรรมได้ บุคคลต้องตั้งใจมั่นในการใช้ชีวิตเลือกข้าง พลังแห่งความมุ่งมั่นจะเป็นกำลังให้จิตมีพลังพาตนให้ขึ้นฝั่งได้ในที่สุด ผู้ไม่เคยเต็มที่กับการสร้างบุญบารมี ทำดีได้ไม่เท่าไหร่ก็ยกเลิกความตั้งใจเสียแล้ว ย่อมไม่มีวันได้รับผลสำเร็จอันสูงสุด จึงต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารด้วยอำนาจของกรรมบงการอย่างไม่จบสิ้น จงเต็มที่และมุ่งมั่นด้วยใจที่หนักแน่นเสมอ
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 58 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่
สำหรับลูกค้าในประเทศ