พระพุทธองค์ทรงสอนให้ระวังความเสื่อม 3 ประการ หนึ่ง ความเสื่อมเพราะการทุศีล สอง ความเสื่อมเพราะความริษยา และสาม ความเสื่อมเพราะความตระหนี่
ความเสื่อมจากการผิดศีลก็ชัดเจนว่า ผู้ที่่มีจิตใจมืดมิดย่อม เห็นการทำ ผิดศีลเป็นเรื่องปกติ แต่ความเสื่อมจากความริษยานี่เกิด ขึ้นได้แม้แต่ในหมู่ของผู้มีศีลธรรม
ดังเรื่องโลสกชาดก ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า มีท่านเศรษฐีได้มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงได้สร้างวัดไว้ แล้วตนก็บวชเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดนั้น วันหนึ่งพ่อค้าผู้เป็นอุปัฏฐาก ได้เห็นพระผู้มาจากต่างเมืองรูปหนึ่งเดินอยู่ในหมู่บ้านด้วยอาการที่น่าเลื่อมใส ด้วยความศรัทธาพ่อค้าจึงได้นิมนต์ท่านไปที่วัด และบำรุงพระอาคันตุกะซึ่งเป็นพระขีณาสพคือผู้สิ้นกิเลสแล้วจนเจ้าอาวาสเกิดมีจิตริษยา
วันหนึ่งพ่อค้าได้นิมนต์เจ้าอาวาสและพระอาคันตุกะให้ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน โดยขอให้เจ้าอาวาสเป็นผู้พาพระอาคันตุกะมา แต่ด้วยฐานะแห่งความเป็นพระจะแสดงความริษยาออกนอกหน้าไม่ได้ พอถึงยามเช้าเมื่อจะไปเรียกพระอาคันตุกะ ท่านก็แสร้งเรียกด้วยอาการที่เรียกแล้ว โดยการใช้สันมือเคาะประตูเบาๆ ให้เป็นการแสดงอาการว่าเคาะเรียกแล้ว แต่เจตนาไม่ต้องการให้ได้ยิน เมื่อเจ้าอาวาสไปถึงที่บ้าน พ่อค้าไม่เห็นพระอาคันตุกะมาด้วยก็เลยขอฝากอาหารไปถวายให้ที่วัด
ด้วยจิตที่ไม่ได้ฝึก เจ้าอาวาสไม่สามารถทนเพลิงริษยาที่ลุกโชนขึ้นในจิต อันเป็นอำนาจจากกิเลสมาร ท่านจึงทิ้งอาหารนั้นลงบนกอหญ้าที่กำลังลุกไหม้ข้างทางเดินที่มีคนไปเผาทิ้งไว้ ฝ่ายพระอาคันตุกะขีณาสพ ท่านรู้วาระจิตริษยานั้นก็เป็นห่วงว่าการอยู่ของท่านจะนำบาปมาให้ ท่านจึงออกไปจากวัดโดยไม่ได้กล่าวลา
เมื่อเจ้าอาวาสกลับมาถึงก็ไม่เห็นพระอาคันตุกะแล้ว จึงคิดว่าพระรูปนี้ต้องเป็นพระอรหันต์ผู้รู้วาระจิตของตน จึงได้สติ รู้สึกเสียใจยิ่งในการกระทำของตน เวียนวนครุ่นคิดถึงแต่กรรมที่ได้กระทำลงไปจนล้มป่วยและมรณภาพด้วยจิตที่ทุรนทุราย หวาดกลัวในผลกรรมที่จะต้องได้รับ ท่านไปอุบัติในนรก หมกไหม้อยู่ในนั้นนับแสนปี เมื่อพ้นจากกรรมนี้แล้ว เศษกรรมยังทำให้ไปเกิดเป็นเปรต ทุกภพทุกชาติมีความแร้นแค้นมาก ได้กินอิ่มเพียงมื้อเดียว ก่อนตายเท่านั้น
เมื่อมาในชาติสุดท้ายที่ได้มาเกิดในสมัยพระพุทธเจ้าโคดม อันเป็นชาติที่จะได้บรรลุอรหัตผล แม้กระนั้น เศษกรรมที่ได้กระทำต่อพระอริยเจ้าก็ยังบันดาลให้ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้กินอาหารอิ่มเลยแม้แต่มื้อเดียว วันหนึ่งพระสารีบุตรได้เดินผ่านมาเห็นเด็กคนนี้ซึ่งอดีตชาติคือเจ้าอาวาส กำลังเลือกเก็บเม็ดข้าวสุกกินทีละเม็ดจากหม้อที่คนล้างหม้อทิ้งไว้ที่ประตู ด้วยความเวทนา พระสารีบุตรจึงชวนให้ออกบวช แต่ท่านก็ยังเป็นผู้ที่ไม่มีลาภเพราะกรรมจาก การได้เคยทำลายลาภของพระอรหันตเจ้า แม้ว่าใครจะใส่บาตรให้ท่านด้วยข้าวเพียงถ้วยเดียว ก็จะทำให้ผู้ใส่บาตรคนอื่นๆ มองเห็น ว่าพระรูปนี้ได้อาหารจนล้นบาตรแล้ว ท่านจึงไม่เคยได้ฉันอาหารเต็มอิ่ม เมื่อท่านบรรลุอรหัตผลแล้ว กรรมเก่านี้ก็ยังไม่หยุดส่งผล จนกว่าท่านจะละสังขาร และเพราะการขาดอาหารนี่เอง ทำให้สังขารของท่านทรุดโทรม
จนเมื่อถึงวันที่ท่านจะนิพพาน พระสารีบุตรจึงปรารถนาให้ ท่านได้ฉันอาหารให้อิ่ม จึงพาท่านไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี แต่การณ์กลับเป็นว่าไม่มีใครแสดงความเคารพต่อพระสารีบุตรเลย และไม่มีใครถวายอาหารให้ พระสารีบุตรจึงพาพระโลสกติสสะกลับไปที่โรงฉัน บอกให้รออยู่ที่นี่ ท่านจะไปเอาอาหารมาให้ คราวนี้ก็ได้รับอาหารมาเต็มบาตร และให้คนนำไปแบ่งให้พระโลสกติสสะ แต่คนแบ่งอาหารก็ลืมถวายอาหารให้พระโลสกติสสะอีก เพราะนึกชื่อไม่ออกว่าพระสารีบุตรให้นำอาหาร ไปถวายพระรูปไหน เลยกินเองจนหมด
พระสารีบุตรรู้สึกสลดสังเวชว่าอานุภาพแห่งกรรมนั้นแรงถึงปานนี้ จึงอาสาออกไปรับบาตรให้ และอาสาเป็นผู้อุ้มบาตรให้กับพระโลสกติสสะ ซึ่งยืนฉันอาหารจากบาตรที่ท่านอุ้มไว้ให้ เพราะมิเช่นนั้น ไม่อาศัยบารมีแห่งพระมหาเถระเจ้า ก็จะไม่มีอะไรอยู่ในบาตร ทำให้พระโลสกติสสะได้ฉันอาหารจนอิ่มในมื้อนั้นซึ่งเป็นมื้อสุดท้าย แล้วท่านจึงนิพพานในวันนั้นเอง… นี่เป็นเพียงฉบับย่อจาก ฉบับจริงของชีวิตอันแสนทุกข์ทรมานมามากกว่าแสนชาติ
ลองตรองดูเถิดว่า แค่มือถูกไฟหรือน้ำเดือดลวกเพียงนิด ยังเจ็บแสบทุรนทุรายเพียงนี้ แล้วการต้องหมกไหม้ในนรกอยู่เช่นนั้นจะต้องประสบกับทุกข์ทรมานเพียงไหน หรือเพียงได้รับความหิวโหยมื้อหรือสองมื้อ ยังทุกข์กายใจนัก แล้วหากต้องมาประสบกรรมเพียงนี้ ทั้งชีวิตไม่เคยกินอิ่ม ชีวิตที่ประสบความแร้นแค้นเป็นนิจ หากไม่ได้ฝึกจิตให้เข้าใจในผลกรรมคงยืนหยัดอยู่ไม่ได้ จิตริษยาเพียงนิดเดียวมีอานุภาพทำให้ชีวิตหมกไหม้ตราบนาน แสนนาน
ขอให้เรื่องที่เขียนนี้เป็นเครื่องเตือนใจทุกท่านให้ดี การอยู่ร่วมกันด้วยหมู่คณะบ่อยครั้งย่อมนำมาซึ่งความรู้สึกเปรียบเทียบ จนนำไปสู่ความอิจฉาริษยา การพลั้งเผลอปล่อยให้จิตคิดเบียดเบียน ปรามาส ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา ก็ล้วนเป็นบาปทั้งสิ้น แล้วบาปนั้นจะติดตามสนองผลไปตราบนานเท่านานทีเดียว ทั้งยังเป็นกรรมที่ส่งผลแรงมาก ไม่ว่าจะทำคุณงามความดีมาอย่างไร ถึงเวลาคุณงามความดีที่มีกำลังแห่งบุญน้อยก็ไม่อาจช่วยได้ พลังกรรมจะพุ่งมาก่อนจนกว่าจะหมดเศษกรรมนั่นแหละ จึงค่อยมารับผลบุญไป
เรื่องกรรมนั้นเราท่านก็ได้ประสบมากับตนทั้งสิ้น ความมั่งมี หรือยากจนจากฐานะในการเกิด นั่นก็เป็นการส่งผลแห่งกรรม การถูกเบียดเบียน อิจฉาริษยา หรือการได้เป็นที่รักหรือถูกเป็นที่รังเกียจอยู่เป็นนิจ ก็เป็นผลจากกรรมที่ตามส่งผลทั้งสิ้น จงตระหนักให้ดีเถิด อย่าฟูมฟายโทษผู้ใดนอกจากโทษการกระทำของตนที่ได้เคยเลือกกระทำไว้ในอดีต จงยอมรับมันแล้วก้าวเดินต่อไปด้วยจิตที่ศรัทธาในความดี ไม่ช้าไม่นาน ด้วยอานุภาพแห่งความดีที่ทำ ด้วยจิตบริสุทธิ์ ย่อมสนองผลช่วยแก้ไขวิบากของตนได้
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 59 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่
สำหรับลูกค้าในประเทศ