อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล
การดูความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม จะดูให้ขาดให้ดูที่ สองคำนี้ คือ การลดลงของตัณหาและอัตตา ตัณหา คือความอยากไปทั่ว ไม่ว่าจะเคยคิดอยากมีหรือไม่มี เคยใฝ่ฝัน หรือไม่ ต่อเมื่อต่อมความอยากถูกกระตุ้น จิตจึงเกิดอยากมี อยากได้ขึ้นมาทันที นี่เป็นการแสดงถึงกิเลสที่แฝงอยู่ในจิต ยัง ไม่อ่อนกำลังลงเท่าใด โดยเฉพาะความอยากมีอยากได้ข้าวของ แบบเล่นๆนี่แหละเนียนมาก เพราะการพูดเล่นเกิดจากจิต พลั้งเผลอขาดสติ พร่องไปนิด กิเลสโผล่จนเผลอพูดออกมา เวลาพูดดูเหมือนไม่จริง แต่กิเลสมันอยากจริงไปแล้ว
เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่อาจารย์จะเปลี่ยนการภาวนามาสู่ เตโชวิปัสสนา แม้ว่าเมื่อภาวนาจบคอร์สแล้วจะรู้สึกสงบระงับอย่างไร แต่ตอนนั้นความอยากไม่ได้ลดลงเลย พอช่วงหยุดพัก ภาวนาแม้เพียงสั้นๆ จิตกลับเตลิดมาก มองธรรมชาติก็คิดว่า จะเก็บแบบไปดีไซน์คอลเลกชันใหม่ มีอยู่ครั้งหนึ่ง คิดอยู่ในหัว เป็นเรื่องเป็นราว…“อยากจะเปิดร้านอาหารเล็กๆ มีพนักงาน เสิร์ฟสัก 3 คน…เอ หรือ 4 คนดี ไว้ผลัดเปลี่ยนวันหยุด มี แม่ครัวสัก 2 เด็กล้างจานอีกหนึ่ง แคชเชียร์หนึ่ง เบ็ดเสร็จ 8 คน ค่าเช่าร้านสักเดือนละ 50,000 ค่าแอร์ น้ำ ไฟ ค่าซื้อของ และอื่นๆอีกจิปาถะ เดือนหนึ่งค่าใช้จ่ายเกือบ สามแสน จะไหวไหมนี่ เอาน่า ลองทำสนุกๆ…เอ แล้วจะทำไปทำไม ไม่เห็นมีทางรวย แต่คงหนุกดีนะ จะไหวหรือ…จะหา เรื่องทำไปทำไม…”
สักพัก…เป๊ง…เสียงระฆังดังให้เข้าไปภาวนา
“เดี๋ยวก่อนนะ ไปชำระจิตสักครู่ เดี๋ยวมาคิดต่อ”
ที่ว่ามานี่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ไอ้คิดต่อนี่คือมานั่งเจรจาวางแผน ร่วมวงสนทนากับกิเลส กว่าจะมารู้ตัวว่าทำไมบ้าได้ขนาดนี้ ก็เล่นเอาหลายปีผ่านไป ที่มาย้อนคิดถึงธรรมของตนในเวลานั้น ว่ากิเลสนี่มันเนียนมากนะเนี่ย หลอกให้เราดีใจว่าแก้ปัญหา เรื่องใหญ่คือมักโกรธลงได้ แต่แทรกกองกำลังตัณหามาให้จิต ติดอีกฟาก คือไม่ติดทุกข์ แต่มาติดหลงความสุขลวงโลกแทน
ตอนที่ปฏิบัติธรรมแรกๆไม่มีผู้คอยตักเตือนเข้มข้นเหมือนที่ อาจารย์เตือนศิษย์ในยามนี้ ก็ไม่เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมต้องมีสติ สำรวม นึกว่าจะให้มีสติตอนภาวนาอย่างเดียว พอช่วงพักจะเป็น ยังไงก็ปล่อยจิตไป ผลที่ได้คือตัณหาลดน้อยมาก ที่พอลดไปได้ มีแต่ความโกรธ อัตตาบางลงนิดหน่อย มีความโลภแบบงงๆ คือไม่รู้ว่าจะทำไปไหน แต่เหมือนกับถูกผลักให้ทำให้ได้ จนได้เปลี่ยนวิธีมาปฏิบัติเตโชวิปัสสนา ที่พอเผาชัดซัดตรงตัว ตัณหา ลดเร็วมาก อัตตาก็ลด จากที่เคยอยากมีไปกับเขาทุกอย่าง ก็ยอมรับและทำไปตามหน้าที่ จิตเริ่มมีปัญญามองเห็นสัจธรรม และเข้าถึงอริยสัจอย่างแท้จริง ที่เด็ดสุดคือ ครั้งหนึ่งตอนที่ เก็บตัวภาวนาเดี่ยว จิตไม่อาลัยอาวรณ์ต่อใครและใดๆทั้งสิ้น ไม่ส่งออกไปไหน มีแต่กำกับกายและใจให้อยู่ในอารมณ์ภาวนา และคิดถึงคุณค่าของเวลามาก คิดแต่ว่า เมื่อเก็บตัวมาแล้ว ต้องลุยให้ถึงที่สุด พอถึงเวลาผ่อนคลายก็นั่งดูน้ำ เดินบนพื้นหญ้า พอถึงวันสุดท้ายถึงเวลาต้องกลับบ้าน ลืมไปเลยว่า เป็นคนมีครอบครัว จิตตื่นแบบว่า “เฮ้ย เรามีครอบครัวด้วย หรือนี่ อ้าว นึกว่าตัวคนเดียว”…ลืมความมีตัวตนได้ขนาดนี้เลย จิตตัดออกได้ขาดขนาดนี้…ขาดจนขำ
พอกลับไปบ้าน จิตเปลี่ยน แต่ช่วงเดินเข้าบ้าน ปรับอาการเข้าสู่โหมดครอบครัว อยู่บ้านเป็นแม่ เวลาออกภาวนาเป็นจิตสันโดษ มันเกิดสภาวะสับสวิตช์โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องฝืนใจ ไม่ต้องปรับแต่งอะไร กลายเป็นธรรมชาติของจิต และกลับมีความรักแบบเมตตาต่อครอบครัวมากขึ้น หาใช่คิดจะทอดทิ้งไป มีแต่ว่าทำอย่างไรจะทำให้ธรรมที่เราถึงแล้วช่วยพยุงและพาเขาให้รอดเช่นเดียวกับเรา…ที่บอกว่า ขณะจิตที่ขาด เป็นการที่จิตแสดงกำลังให้ประจักษ์ว่ามีก็เหมือนไม่มี ถึงเวลาไม่มีมันก็ไม่มี แต่ถึงเวลาอยากจะมีก็มีได้แบบใจไม่มี คือหากจำต้องมีในบางอย่าง แต่มันก็มีแบบงั้นๆ เพราะสิ่งที่มีมันเป็นสมมติ แต่ใจ ไม่ยึดถือสิ่งที่มี ก็เลยกลายเป็นความมีในความไม่มี
อาจารย์สอนศิษย์ว่า เวลาออกบวชเนกขัมมะมาภาวนา ต้องตัดโลกออกให้ได้ หากนักภาวนายังผูกจิตรุงรังแบบนี้ จิตไปไหนไม่ได้ มัวแต่ติดรักกับติดโลก บอกจะภาวนาตายคาเบาะ แต่จิตไปติดตายคาบ้านไปแล้ว จิตพ้นบ้านยังไม่ได้ แล้วจะพ้นภพได้อย่างไร นิพพานเป็นเรื่องของ“ขณะ” สภาวะหลุดพ้น ได้ความเป็นอริยบุคคล ไม่ได้เกิดจากจิตเตรียมการ เมื่อใดที่ชะเง้อรอ เงื้อง่า ตั้งท่า วางเป้า หากคิดเช่นนั้นจะล้มเหลว นิพพานคือเรื่องสวนทางกับโลก มันตั้งเป้าไม่ได้ แต่ตั้งใจพยายามได้ มีตัณหาไม่ได้ แต่มีความปรารถนาได้…หากใครไปอ่านประวัติของฆราวาสสายเตโชวิปัสสนานี่จะเห็นเลย ว่ามันเป็นเรื่องของขณะจริงๆ ที่นั่งเพียรกันเป็นวันเป็นคืน ครั้งละหลายชั่วโมงต่อเนื่อง เป็นการภาวนาเพื่อเผาชำาระกิเลส ไปเรื่อยๆ ให้จิตบริสุทธิ์ และมีกำลังในการถอนอัตตาและวางอุเบกขา แต่พอจิตวางได้ จู่ๆมันจะขาดก็ขาดผึงได้ เพราะเผากันจนเปื่อยแล้ว แต่พอจิตมีตัณหามากางกั้นไว้ ก็เลยเกิดการสร้างตาข่ายมากั้นจิตที่มันเบาแล้ว แต่ยังพ้น ด่านใสๆไปไม่ได้ คือพ้นไม่ได้แต่ก็ไม่จม พอตัดตัณหาได้ เขาขาดผึงลอยขึ้นสูงตรงนั้นแบบไม่รู้ตัว
นักภาวนาต้องเข้าใจสาระสำคัญว่า โลกเป็นเช่นใด เราจะไม่เป็นเช่นนั้น โลกิยะกับโลกุตระ มันเป็นโลกคนละขั้ว ต้องหมั่นฝนใจให้อยู่เหนือโลก แม้ยังเหนือจริงๆไม่ได้เพราะกำลังไม่พอ แต่อย่างน้อยต้องมีสติ ต้องหมั่นพิจารณาตน ตรวจดูตัณหาและอัตตาของตนว่าพร่องไปบ้างไหม หากตัณหายังฟู อัตตาเป็นน้ำล้นแก้ว ต้องมาพิจารณาว่ามันเป็นเพราะเหตุใด เพราะเราด้อยภาวนา หรือเพราะเราไม่มีสติเป็นเครื่องกางกั้น เมื่อคนอื่นๆเขาปฏิบัติแล้วชีวิตเขาเปลี่ยนได้ ลดตัณหาและ อัตตาได้ เราก็ปฏิบัติเหมือนกัน แต่มันเปลี่ยนไปได้ไม่ดีเท่าที่ควร ต้องหาเหตุ ไม่ใช่มาโทษวิธีภาวนา ไม่ใช่ให้กิเลสหลอกว่ามันเป็นอนิจจัง มีเกิดมีดับ อยากๆดับๆ ภาวนาก็เลย ติดๆดับๆ เพราะเอาคำว่าอนิจจังไปใช้ผิดที่
หากอัตตายังท่วม ตัณหาเกิดได้เหมือนน้ำมันกับไฟ มันไม่ใช่อนิจจังแล้ว มันต้องสลดสังเวชในความไม่เอาไหนของตัวเอง ที่ไม่มีวินัย ไม่ฝึกฝนตน ได้เพียงมองคนอื่น แต่ไม่มองตนเองแล้วมุ่งหน้าข้ามไปในทางที่หวังตัณหาดับสิ้นเชื้อได้เมื่อไหร่ พ้นทุกข์จากการเวียนว่ายได้เมื่อนั้น
เรื่องแค่นี้จริงๆ… ให้ตายเถอะ
ใครพลาดไปแล้ว เริ่มต้นใหม่นะ ตราบใดที่ยังหายใจอยู่ อย่าไปยอมแพ้มัน ลุยมันเข้าไป
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 55 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่