Skip to content Skip to footer

บุญช่วย

เวลาอายุมากขึ้น จะมองเห็นว่าความตายเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น และหากใครมีปัญญาแจ้งชัด ก็จะยิ่งมองเห็นว่าเหตุการณ์ ใดๆทั้งในชีวิตและในโลก ล้วนเหมือนโรงละครโรงใหญ่ที่ทับซ้อนกันหลายมิติ ทั้งมิติระดับโลก ระดับประเทศ ระดับสังคมย่อย ระดับครอบครัว และของตัวเราเอง ในทุกระดับต่างก็มีเหตุผลและการสร้างเงื่อนไข ที่ภาษาธรรมเรียกว่า “ปัจจัย” ผลักดันทับซ้อนไป ซ้อนมา จนเกิดการพัวพันกันในแบบที่แยกไม่ออก

ความคิดที่เกิดขึ้นนี้ทำให้อาจารย์คิดถึงนิมิตที่อาจารย์ยืนอยู่บนสะพาน เบื้องล่างเป็นแม่น้ำใหญ่ที่ไหลเชี่ยว แล้วอาจารย์ก็กระโดดพุ่งหลาวลงไปในแม่น้ำนั้น ทั้งๆ ที่อยู่บนบกได้แล้วแท้ๆ ปัจจัยที่ทำให้เกริ่นนำถึงเรื่องนี้มาจากการไปตลาดเพื่อไปสรรหาข้าวของมาตกแต่งหอมนสิการ รับงานสงกรานต์ใหญ่

ตลาดใหญ่นี้ผู้คนคลาคล่ำ แม่ค้าพ่อค้ายิ้มบ้างไม่ยิ้มบ้าง แล้วแต่ว่าขายดีหรือขายไม่ดี อาจารย์ก็อยู่ในบทบาทของลูกค้า แม่ค้าก็พยายามขายสินค้าเพื่อการดำรงชีพไปจนถึงการหาทรัพย์ หาไปหามาโดยมากก็มุ่งสร้างความมั่งคั่ง สร้างไปสร้างมาก็ติดกับดักการแข่งขันความโลภ จนส่วนใหญ่มีชีวิตติดอยู่กับการแสวงหาทรัพย์แต่ไม่แสวงหาธรรม วงจรนี้แผ่ไปทุกระดับทั้งเล็กใหญ่ ชีวิตของทุกคนที่จมวนอยู่ในตลาดต่างก็ต้องเดินหน้ามาถึงจุดจบ คือ ความตาย ที่ไม่สามารถหยิบฉวยสิ่งใดไปได้เลยนอกจากกระแสบุญ บาป ความดี ความชั่วที่ติดตัวไป

การลงไปคลุกอยู่ในตลาด ได้พูดคุยกับพ่อค้าแม่ขาย ทำตัวประหนึ่งสายลับทางธรรม เป็นอีกหนึ่งมุมของการกระโดดพุ่งหลาว ในนิมิตอาจารย์ไปแสวงหาสินค้าศิลปหัตถกรรมจากหลากหลาย แห่ง ทั้งในประเทศและประเทศใกล้เคียงไม่เว้นแม้แต่พม่า เพื่อปั้นหอมนสิการให้มีภาพความเป็นตลาดเชิงวัฒนธรรม

งานนี้ทำให้อาจารย์ต้องลงไปคลุกกับตลาดในเชิงศิลปะ เพราะเป็นการไปเลือกสรรงานศิลปะที่นำมาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ และให้มีรายได้เสริมหล่อเลี้ยงโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินบริจาคเกินไป พอไปคลุกมากเข้าก็ต้องรู้จังหวะว่าเมื่อไหร่จะต้องถอยออก โชคดีว่าสิ่งที่เข้าไปคลุกมีส่วนของศิลปะการสร้างสรรค์ จึงมีมุมให้ผ่อนคลายและทำให้รู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์ธรรมดาดี

ครั้งหนึ่ง อาจารย์เดินลัดเลาะแบบไม่มีจุดหมาย เผื่อจะเจองานศิลปะอะไรดีๆ แล้วก็ไปเจอของดีจริงๆ เป็นร้านขายดอกไม้ ผ้าคุณภาพสูงที่ราคาย่อมเยา ขนาดที่ว่าดอกไม้ผ้าเกรดนี้ที่ห้างหรู ขายดอกละ 500 บาท แต่ร้านนี้ขายส่งดอกละ 150 บาท ตาโตละทีนี้ ดีใจประมาณหนึ่งที่จะได้ยกระดับการตกแต่งหอมนสิการให้ มีดอกไม้ผ้าชั้นดีวางประดับในโถเบญจรงค์รูปลักษณ์โดดเด่นถวายพระพุทธรูป จากนั้นก็ต่อยอดเป็นการได้ซื้อหามาปรับปรุงธรรมสถาน บ้านเรือน ไปจนถึงงานใหญ่

ซอยที่ไปซื้อออกจะลึกและค่อนข้างร้อน เจ้าของก็บอกว่า จะได้ของดีราคาแบบนี้ก็ต้องทนร้อนหน่อย แรกๆ ก็ไม่เท่าไหร่ พอช่วงที่ต้องไปซื้อบ่อยเข้าเพื่อจะนำามาทำงานสงกรานต์ ระหว่างที่รอคิดเงิน อาจารย์ก็ยืนไปพัดไป แล้วก็เลยบ่นนิดนึง

“ฉันมาทำอะไรก็ไม่รู้ อยู่ดีไม่ว่าดี”

แม่ค้าข้างเคียงที่คอยมองอาจารย์อยู่ก็พูดตอบออกมา

“ผู้มีอันจะกินที่มารอนแรมแถวนี้ คงชอบของสวยๆ”

พอได้ยินคำว่า “ผู้มีอันจะกิน” ก็นึกได้ว่า สงสัยท่ายืนพัดไป บ่นไปคงจะมีสง่าราศี คุณแม่ค้าจึงนึกรู้ว่าเป็นผู้มีอันจะกิน แล้วก็มีจริงๆ เพราะบรรดาลูกศิษย์ลูกหามักนำทั้งข้าวของและอาหาร สารพัดสารพันอย่างมาให้มิมีขาด อย่างไรเสียก็ต้องถ่อมตัว จะไม่พูดจาปสาทะอะไรเลยเกรงจะหาว่าทำหยิ่งกลางตลาด

“ก็..ดอกไม้เขาสวยจริงๆ แม้จะเป็นดอกไม้ผ้า แต่งานคุณภาพดี ดูแล้วก็สบายใจ” แล้วอาจารย์ก็หันไปพูดกับเจ้าของ

“เออ..ที่ร้านไม่เห็นมีดอกไม้หลักสิบบ้างเลยนะ หยิบจับอันไหนก็มีแต่หลักร้อยนะคะคุณ”

คุณเจ้าของก็ตอบกลับแบบจริงใจ “ถ้าเป็นดอกไม้ราคาหลักสิบ ลูกค้าก็คงไม่แวะร้านนี้หรอกค่ะ เพราะไม่สวย”

“จริงของคุณ ดอกไม้ร้านนี้สวย คุณภาพแตกต่างจากของร้านอื่นจริงๆ เลยต้องมาบ่อย” สวยจนผู้ซึ่งมีอันจะกินผู้ยืนอยู่ข้างหน้าเงินสดไม่พอจ่าย ก็เลยขอโอนเงินแล้วกัน

พอพูดถึงดอกไม้หลักสิบ ระหว่างทางที่เดินกลับก็เลยแวะดูร้านดอกไม้ส่วนใหญ่ที่มีราคาหลักสิบ ก็ยิ่งเห็นชัดว่าคุณภาพคนละเกรด ไม่คู่ควรแก่งานอันสูงค่าหรือแม้แต่ในร้านค้าหรือเคหสถานอันประณีต  ข้อดีที่ได้ดอกไม้ผ้าคุณภาพสูง คือ ได้ของดีประหยัดงบให้มูลนิธิ เพราะแหล่งท่องเที่ยวคงไม่สามารถใช้ดอกไม้สดได้ตลอด ข้อเสียเฉพาะตนคือร้านร้อนอบอ้าวมาก

พอกลับออกมาจากกระโดดพุ่งหลาวลงตลาด จิตก็อดคิดถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายของทุกคนไม่ได้ จะไปซื้อของดีราคาแพงในห้างหรู หรือซื้อของดีราคาย่อมเยาในตลาดร้อนอบอ้าว สุดท้ายทั้งคนซื้อคนขายก็มีจุดหมายเดียวกัน

ดิ้นรนกันไป แล้วก็ต้องอำาลากันไป หาเงินกันไป แล้วก็จบๆกันไป…จะมีสักกี่คนที่มีจิตตื่นรู้ถึงความไม่เที่ยงแท้แล้วหันมาใช้ชีวิตที่สมดุลบ้าง เมื่อภาระหน้าที่เกิดแล้ว ก็ดิ้นรนพร้อมๆ กับเกื้อกูลกันไป ให้เกิดเป็นทุนทั้งยามมีชีวิตอยู่และยามต้องเปลี่ยนภพภูมิ…

สำหรับผู้ที่มีวาสนาตระหนักในแรงส่งของบุญกุศล พอขวนขวายทำาบุญก็มักเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่บุญจะหนุนส่ง แต่หากการณ์กลับตรงกันข้าม พอโทษใครไม่ได้ก็อาจหันไปสงสัยว่า ทำไมทำบุญแทบตายกลับโดนวิบากเล่นงานหนักหน่วง 

ขอให้ตระหนักว่า ขึ้นชื่อว่าทำบุญ ย่อมรู้สึกปีติอิ่มใจ ด้วยรู้ว่ากรรมกิริยาด้วยจิตเจตนาของเรานั้นมิได้เป็นไปเพื่อการเบียดเบียนเลย มีแต่เพื่อช่วยด้วยศรัทธา นี่เป็นบุญที่สะสมไว้ในจิตแล้ว ส่วนการจะส่งผลของบุญสืบเนื่องก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของธรรมะหรือ ธรรมชาติ ที่เมื่อกระแสบุญนี้บ่มเพาะผลได้ที่ เขาจะส่งผลหนุนนำ เป็นระยะๆ หากอยากเร่งผลให้ออกเร็วๆ เหมือนผลไม้บ่มแก๊สก็จะใช้วิธีอธิษฐานเร่งบุญก็ได้ แต่ผลอาจจะแกร็นย่อเล็กลงไป เพราะมีตัณหาอันเป็นกระแสแปลกปลอมไปแทรกแซงการส่งผลของเขา

บางทีผู้ที่ทำบุญกุศลต่อเนื่องแต่ไม่รู้สึกว่าชีวิตตนดีขึ้น อาจไม่รู้ว่า ที่ชีวิตไม่เลวลงก็เพราะมีแรงบุญที่ทำต่อเนื่องพยุงอยู่ ผู้ที่ไม่มีแรงบุญที่มีกำลังสูงพยุง พอถึงเวลากรรมวิบากส่งผล จู่ๆ ก็ ทำให้เกิดมีโรคร้ายให้ได้รับทุกขเวทนาเป็นอันมาก เหมือนพระเอกคนหนึ่ง ด้วยบุญเดิมที่หนุนส่งให้ได้มีหน้าตาดีโอกาสดีจนได้เป็น พระเอกชื่อดัง จู่ๆ ก็เกิดโรคร้ายเป็นตุ่มพุพองที่แพทย์หาสาเหตุไม่ได้จนได้รับทุกข์สาหัส

อย่ามองพลังบุญช่วย ในเชิงของการเกิดแรงผลักให้ชีวิตเปลี่ยนในแบบที่มุ่งหวังอย่างเดียว บางทีที่ชีวิตไม่ล้มและไม่เกิดโรคร้าย หรือเหตุการณ์ร้ายแรงแบบพลิกผัน นี่ก็อาจเกิดจากมีแรงบุญหนุนชีวิตเอาไว้..

ก็ขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้มีอันจะกิน อย่าได้ขัดสน และอย่าได้น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาว่า ทำไมทำบุญแล้วบุญจึงไม่ช่วย เขาอาจกำลังช่วยอยู่ไม่ให้จมลงก้นบึ้ง แต่ตนไม่รู้ไม่เห็นเองต่างหาก…

อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 60 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่

สำหรับลูกค้าในประเทศ

สั่งซื้อนิตยสารได้ที่นี่