Skip to content Skip to footer

บุญ บาป และจิตสุดท้าย

อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล

บุญและกรรม คือกระแสพลังงาน กระแสผลักดัน ถ้าเป็นวิบากกรรมก็ผลักดันทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ ที่พ้องกันกับการกระทำที่เป็นอกุศลที่บุคคลได้กระทำไว้ ถ้าเป็นกุศลวิบากคือผลบุญ ก็เป็นกระแสผลักดันที่ทำาให้เกิดแต่เรื่องดีๆ ดีจนกระทั่งน่าแปลกใจ ดีในแบบที่เรียกว่าธรรมะจัดสรร หรือบุญจัดสรร คือไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็กลับเป็นไปได้

เวลาดูเรื่องกระแสบาป กระแสอกุศล ถึงแม้หากว่าบุคคล จะเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว แต่บาปและอกุศลกรรมที่ยังไม่หมดวาระ การส่งผลยังมาสนองผลได้ สนองผ่านอะไร ผ่านกายสังขารที่ อยู่ในภพนี้จนกว่าจะสิ้นภพจบชาติ  ก็จะไม่มีกรรมวิบากมาเสวยได้อีก เพราะว่าไม่มีกายเนื้อหยาบรองรับน้ำหนักกรรม เพราะฉะนั้น บุคคลผู้บรรลุธรรมจึงเรียกว่าสิ้นกรรม คือสิ้นกรรมเมื่อตายแล้ว ไม่ใช่บรรลุแล้ว แล้วก็หมดกรรม บรรลุแล้วก็ยังต้องใช้กรรมต่อ

การที่เราชำระจิตให้บริสุทธิ์และเกิดเป็นพลังบุญ คือพลังของกุศลกรรมที่เป็นเครื่องผลักดันชีวิตนั่นเอง อย่างบางคนที่ บุพการีตายแล้วไปเกิดในที่ที่ตกต่ำ ไปตกนรกบ้าง เวลาลูกปฏิบัติภาวนาแล้วอุทิศบุญกุศลไปให้ พลังบุญนั้นก็จะช่วยยกจิตของบิดามารดาให้สูงขึ้นได้ ให้ย้ายภพภูมิได้

ทำไมลูกหรือสามีภรรยาจึงช่วยได้ เพราะว่ามี DNA หรือ มีกระแสเลือดเข้มข้นที่ต่อเนื่องถึงกัน เลือดเห็นเป็นน้ำก็ข้น และในแง่กระแสพลังงานก็ยังมีความเชื่อมโยงกัน ถ้าท่านเห็นรูปร่าง DNA จะเห็นว่าเป็นเกลียวพันๆ กัน ซึ่งในคลื่น พลังงานก็มีความเกี่ยวโยงที่หนาแน่นกว่าคนที่ไม่ใช่บุคคลในสายเลือด เพราะฉะนั้นเวลาลูกบำเพ็ญกุศลให้กับบิดา มารดา จึงมีพลังหนุนส่งได้ตรงตัวเลย

ยกตัวอย่างเรื่องของศิษย์ที่พ่อแม่ตายตกนรก ลูกก็เพียรทำบุญส่งไปให้ จากนรกก็ขึ้นมาเป็นสัตว์ เป็นลูกน้ำ เมื่อส่งบุญไปอีกก็ยกภพภูมิขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะด้วยอานุภาพแห่งบุญของลูก พลังบุญคือพลังผลักดันในการเปลี่ยนแปลง DNA หรือเปลี่ยนแปลงคลื่นกรรม คือพลังในการปรุงแต่งภพ ให้สูงยิ่งขึ้น ปรุงแต่งชีวิตให้ได้พบกับความดีงาม ความสุข และความเจริญ

เราอุทิศบุญไปให้ เขารับบุญได้ไหม ได้ เขาก็รับได้ถ้าเขารับนะ คือถ้าเขาไม่รับ บุญนั้นก็กลับมาถึงตัวเราเอง แล้วถ้า เขารับ บุญนั้นจะช่วยเขาอย่างไร บุญช่วยให้ได้รับการเกื้อหนุน ทำให้เกิดเรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิต

แล้วเวลารับบุญ…รับยังไง รับโดยกล่าวคำขอบคุณ หรือ ถ้าเป็นชาวพุทธ รับแล้วก็สาธุ สาธุแปลว่าดีแล้ว หรือกล่าว อนุโมทนา ทีนี้มีคนถามอาจารย์ว่า ก่อนตายจะวางจิตอย่างไร ก่อนจะตอบเรื่องการวางจิต ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า ความตายคือ อะไร

ความตายนั้นคือ การที่สภาพร่างกายหมดอายุขัยหรือ สิ้นสภาพจนจิตไม่สามารถตั้งอยู่ในกายนั้นได้ต่อไป ในส่วน ของจิต วาระแห่งความตายคือการย้ายออกจากบ้านหรือ ร่างกายอย่างถาวร จึงเกิดสภาพการเคลื่อนย้ายกระแสจิต

หากอธิบายแบบวิทยาศาสตร์ก็ยาวหน่อย เริ่มต้นจากการเข้าใจความเป็นมนุษย์ว่า พลังงานในตัวมนุษย์มีอยู่ 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือส่วนของกาย ส่วนที่ 2 คือส่วนของจิต สองส่วนรวมกันจึงดำรงสภาพเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์และความรู้สึก สามารถคิด พูด ทำได้ โดยมีส่วนของจิตเป็นกระแสพลังงาน ที่ทรงพลานุภาพมาก เป็นตัวผลักดันอวัยวะกลไกของร่างกาย ให้ทำงาน ต่อเมื่อพลังส่วนของกายสิ้นสภาพ จิตก็ไม่สามารถ ดำรงอยู่ในร่างได้ต่อไป กลไกการทำงานทุกอย่างก็ดับหมด เพราะว่าตัวสั่งการคือจิตที่เป็นหัวหน้านั้นถอนออกไปจากร่าง

ดังนั้น นาทีที่จิตนั้นหลุดออกจากร่างจึงเป็นนาทีแห่งการเปลี่ยนภพภูมิหรือย้ายไปอยู่ในสนามพลังงานใหม่

นาทีก่อนที่จิตออกจากร่าง จะต้องทำอย่างไร ก่อนที่จิต จะออกจากร่าง ถ้าเป็นคนที่มีทั้งความดีและความเลวสลับกัน ทำดีบ้าง ทำไม่ดีบ้าง ก็ยังพอที่จิตจะสามารถประคองให้ระลึก ถึงคุณความดีที่ตนทำไว้ หรือนึกถึงเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เช่น หากเป็นชาวพุทธก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ หาก เป็นชาวคริสต์ก็นึกถึงพระเยซู ท่านจึงจะเห็นว่า บางคนเวลา ใกล้จะตาย เขาบอกให้นึกถึงอรหันต์ๆๆๆ หรือพระพุทธเจ้า พุทโธๆๆ เอาไว้ นั่นคือผู้ที่มีความดีและความไม่ดีสลับกันไป

แต่ถ้าเป็นคนที่ทำเลวมาก ทำเลวมากกว่าดี กระแส อกุศลกรรมที่สะสมในจิตที่กำลังจะถอนออกจะเป็นตัวนำหน้า และดึงกระชากจิตไป แม้จะให้คนมาพูดข้างหูว่าให้คิดถึงพระอรหันต์ก็ไม่สามารถระลึกถึงได้ ดังนั้นก่อนจะตายจะต้องดำรงสติเอาไว้ให้แม่นให้มั่น ต้องมั่นใจว่าท่านไม่มีอกุศลวิบากหนัก หลงเหลือ หรือมีความรู้สึกผิดที่รุนแรง หรือ Guilty ใดๆ ติดค้างอยู่ในใจ มิฉะนั้นแม้ว่าจะทำดี ทำบุญสุนทานมาอย่างไร ก็ตาม แต่ถ้าท่านมีอกุศลวิบากนำหน้า หรือว่าจิตมีความปักใจ ฝังใจอยู่กับบาปอันใดอันหนึ่ง เมื่อถึงเวลาตาย ความฝังใจนี้ นำหน้า ก็จะพาท่านไปลงข้างล่างก่อน

ดังนั้นในคำตอบนี้ก็รวมไปถึงว่า ทำไมต้องรู้จักการวางจิตก่อนตายด้วย คำตอบก็คือเพื่อให้กระแสจิตได้ไปอยู่ในภพภูมิ ดีๆ ก่อน หรือได้ไปมีที่อยู่ใหม่ที่ดีกว่าเดิม ที่สำคัญอีกประการ หนึ่งคือ การต้องฝึกวางจิตให้ละความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ เช่น ความห่วง หวง อาลัยอาวรณ์ เพราะมีผลอย่างยิ่งในนาที ขณะจะตาย

เพราะแม้จะเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนใคร แต่หากใจ อัดแน่นไปด้วยความห่วง หวง อาลัยอาวรณ์ คลื่นอารมณ์นี้ ก็จะเป็นแรงถ่วงให้จิตไปอยู่ในที่ไม่ดี หรือต้องมาวนเวียนอยู่ในภพภูมิที่มีความทุกข์ ที่เรียกว่าวัฏสงสาร ซึ่งแปลว่าการ เวียนว่ายตายเกิดที่เต็มไปด้วยความทุกข์

แต่ถ้าจิตของเราชำระความไม่บริสุทธิ์ออกไปได้มากแล้ว จิตดีก็จะนำหน้า และเมื่อมีสติสัมปชัญญะ นาทีก่อนจะตาย สำหรับนักภาวนา ให้ระลึกถึงนิพพาน แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่ นักภาวนา ให้ระลึกถึงพุทโธหรืออรหันต์

ทำไมจึงต่างกันระหว่างการนึกถึงอรหันต์กับนิพพาน เพราะถ้าหากว่าคนที่ไม่ได้เข้าถึงหรือไม่มีศรัทธาในนิพพาน จิตก็จะไม่มีความมั่นในพระนิพพาน การพูดนำจึงไม่ค่อยมี ความหมาย แต่ถ้าหากเป็นผู้ที่เป็นนักปฏิบัติภาวนาจริงจัง ให้ระลึกถึงนิพพานไว้เลย ให้วางจิตว่าใดๆ ในโลกนี้เราทำมา เพียงพอแล้ว กำาลังที่เราทำได้เท่านี้ ถึงเวลาที่จิตจะต้องออกจากร่างนี้ ย้ายภพภูมิแล้ว ขอให้ดำรงจิตให้มั่น ระลึกถึง พระนิพพาน นิพพานๆๆๆ

นิพพานคือแดนที่สูงที่สุด เป็นแดนอันเกษม เป็นแดน อันปราศจากกิเลส

ถ้าจิตของท่านมั่นในนิพพาน ขณะจิตก่อนที่จะตาย ไม่ว่า จะมีภูมิธรรมใดก็ตาม ท่านมีโอกาสที่จะขึ้นไปสู่ที่สูงได้ อาจจะ ไม่สูงถึงนิพพาน แต่อาจจะสูงกว่าภูมิธรรมที่ได้ ณ ขณะนั้น แต่โดยมากทำได้ยาก เพราะอะไร เพราะบุคคลนั้นมักจะมี ความยึดมั่นถือมั่น เมื่อใกล้จะตายแล้วก็จะห่วงคนนั้น ห่วง คนนี้ ห่วงทรัพย์ ห่วงลูก ห่วงสามี ห่วงภรรยา จิตของผู้ที่ไปดี เวลาไปจิตจะค่อยๆ ผ่อนออกจากร่าง จะผ่อนไปเรื่อยๆ จะดูสงบ แต่ถ้าเป็นจิตที่มีบาปหนัก กายจะเกิดอาการกระตุก เพราะกระแสจิตถูกกระชากลงไป

อย่างมีเรื่องสืบต่อกันมาว่า มีพระภิกษุท่านได้รับผ้าสบง จีวรผืนใหม่ จิตท่านก็มีความหลงยึดในผ้าผืนนั้นมาก พอมา ตายกะทันหันขึ้นมา แทนที่จะได้บุญจากการบวช แต่ท่านกลับ ไปเกิดเป็นไรมาเกาะในผ้าผืนนั้นแทน ต้องหมดอายุขัยจาก ภพนั้นก่อนจึงได้รับอานิสงส์จากการบวชต่อไป นี่คือผลของ การไม่ฝึกวางจิตก่อนตาย ในเรื่องเล่าอันเนื่องมาจากพระ อาจารย์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ชายผู้ปล้น ฆ่าวัวควาย ก่อนจะตายก็ร้องโวยวายเพราะเห็นวิญญาณของเจ้ากรรมนายเวรมาตามทวงหนี้ แม้สมเด็จท่านจะไปอยู่ข้างๆ ขณะจะตาย ก็ไม่สามารถระลึกถึงพระอรหันต์ได้ เพราะ กรรมหนักที่ฆ่าวัวควายทำให้จิตไม่สามารถเข้าไปสู่พลังกุศลได้ จิตถูกถ่วง ทำาให้เมื่อกายสิ้นสภาพ จิตก็ลงนรกทันที

ไม่ต้องกลัวเรื่องความตาย ความตายจริงๆ คือการเปลี่ยนภพภูมิ คือการที่คลื่นพลังงานจิตออกจากร่างที่อาศัยอยู่ ถ้าเราเข้าใจหลักพลังงานตรงนี้ จะได้เตรียมตัวได้ถูก ท่านควรจะเป็น ผู้ที่มีความพร้อมเสมอ อะไรที่เป็นเรื่องราวทางโลก เตรียมให้พร้อม เขียนพินัยกรรมเอาไว้ ถ้าท่านทำประกันชีวิตไว้ บอกให้ครอบครัวพี่น้องรู้ มีทรัพย์อยู่ตรงไหน มีอะไรเก็บอยู่ตรงไหน บอกคนที่เชื่อใจได้ และให้รู้ว่าเมื่อถึงเวลา ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับ ชีวิตจริงๆ “ไปละนะ” ให้ตั้งจิตให้มั่นถึงพระนิพพาน อย่ามา พะวงสาละวนกับเรื่องทางโลกอีก ให้ตระหนักว่า “เวลาของเรา หมดแล้ว” ก็ให้มันหมดจริงๆ หมดเกลี้ยงเกลาแบบไม่มีห่วง จะได้ไปอยู่ในที่ดีๆ

จงคิดอยู่เสมอว่า ท่านทำวันนี้ดีที่สุดแล้ว ทุกวันในชีวิตของท่าน ท่านทำดีที่สุดแล้ว นี่คือที่สุดในชีวิตของเราแล้ว จะได้ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกเลย ถึงเวลานาทีที่ท่านจะต้องไป ท่านจะไปอย่างผู้เป็นอิสระ ไม่ต้องแบกของหนักติดตัวไปด้วย ทำจิตให้พร้อม ทำกุศลให้พร้อมเสมอ ขัดเกลาจิตให้ปราศจาก กิเลสหรือให้เบาบางจากกิเลสที่สุด จิตจะได้เป็นอิสระ