
อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล
ใกล้เทศกาลสงกรานต์หรือวันครอบครัว ผู้คนมากมายเตรียมตัวพักผ่อนหยุดยาว บางคนจากบ้านเกิดเพื่อมาทำงานที่ต่างเมือง ย่อมควรกลับไปเยี่ยมเยียนผู้ใหญ่และบ้านเกิด เหตุนี้ทางการก็มีบริการ “ฝากบ้านไว้กับตำรวจ” ซึ่งเป็นที่มาของการเขียนบทความนี้
อาจารย์ได้ไปพักผ่อนกับครอบครัวที่เมืองเมืองหนึ่ง ระหว่างทางที่มาก็ได้เข้าไปสู่สนามพลังงานลบ เห็นแต่เลข 13 ถี่มาก แล้วสนามพลังงานที่ว่าก็แสดงผลชัดขึ้น เพราะเมื่อเดินทางมาถึงเมืองที่ห่างไกลจากชุมชน ก็ได้พบกับสภาพของความเป็นเมืองร้างเกือบจะค่อนเมือง เนื่องจากเป็นฤดู Off-season ของฤดูท่องเที่ยว บ้านและกิจการร้านค้าถูกปิดตาย ทำให้มีสภาพเงียบสงัด รกและร้าง ส่วนบ้านที่เราเช่าพักผ่านตัวแทนท่องเที่ยวนั้นเล่า ก็ตั้งอยู่แทบจะโดดเดี่ยวจากคนอื่นๆ ด้านหน้าเป็นทุ่งโล่ง วิวสวยงาม ต่อเมื่อมองมาที่หลังบ้าน สมาชิกในครอบครัวถึงกับต้องผงะ เพราะเบื้องหน้าเรานั้นเป็นสุสานที่ฝังศพ !
พล็อตเรื่องชวนขนหัวลุกแบบหนัง Horror… เอาละสิ สีหน้าและความรู้สึกของแต่ละคนสับสนอลหม่าน มาพักเมืองร้าง มาอยู่บ้านติดกับสุสาน จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้บ้าง
อาจารย์ได้แต่หัวเราะ แล้วบอกว่า “อยู่กับแม่ไม่ต้องกลัว ไม่มีผีที่ไหนเข้ามาได้หรอก แต่อย่าออกไปเดินข้างนอกตอนค่ำ อย่าอาบน้ำหลังพระอาทิตย์ตกดินก็แล้วกัน”
จิตบอกให้รู้ว่า ไม่ใช่ว่าจะเป็นเพราะสุสานอย่างเดียวที่เต็มไปด้วยแหล่งรวมวิญญาณหรือโอปปาติกะ แต่บ้านและห้างร้านที่ปล่อยให้ร้างหลายเดือนนั่นแหละ แหล่งรวมผีวิญญาณชั้นยอด เพราะบ้านร้างเหล่านั้นคือสังขารหรือที่อยู่ให้วิญญาณเข้าไปอยู่อาศัย ทำให้สนามพลังงานในเมืองนี้เต็มไปด้วยความวังเวงแม้แดดจะส่องจ้า
เรื่องนี้ ทำให้อาจารย์นึกถึงสมัยก่อนนานมา ได้เคยรู้จักหมอดูที่มีญาณผู้หนึ่งได้แนะนำให้ผู้ที่ไปปรึกษาความให้พ้นจากวิบากว่า หากจะให้เทพช่วยให้พ้นทุกข์ ให้สร้างเรือนเล็กๆ ให้หนึ่งหลัง แล้วจึงจะช่วย เรือนเล็กชั้นเดียวที่ว่าขนาดราวๆ 7×3 เมตร ลักษณะกึ่งโกดังซะมากกว่า ได้ยินดังนั้นก็ไม่เข้าใจว่าเทพต้องการบ้านไปทำไม มายามนี้จึง “อ๋อ” ว่า เรือนนี้ก็คือที่อยู่อาศัยให้เหล่าวิญญาณเร่ร่อน ได้มีที่สิงอาศัยนั่นเอง หาใช่เทพที่ไหนหรอก แต่เป็นพวกโอปปาติกะ ที่ไปสิงจิตหมอดูดวงตก แล้วทำให้ทำนายนั่นนี่ได้ตรง จากนั้นก็แสวงหาประโยชน์จากคนที่จมทุกข์อีกที
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าบ้านไหนเป็นบ้านผีสิง บ้านไหนที่เข้าไปแล้วจิตรู้สึกวังเวง หวาดผวา ขนลุกชัน ก็นั่นแหละ ไม่ใช่อุปาทานไปเองหรอก แต่เพราะกระแสพลังงานของโอปปาติกะเหล่านี้พุ่งเข้ามาสู่จิต จึงรู้สึกขวัญผวา
กระแสผีกับกระแสพระรัตนตรัยนั้นต่างกัน กระแสพระรัตนตรัยจะเบาละเอียด ไม่มีความรู้สึกหวาดผวาเจือปน จะมีแต่ ความเบา โล่ง ปีติ แต่กระแสวิญญาณนี่จะทำให้จิตหวาดหวั่น
ผีก็คือกระแสพลังงาน ไม่มีอะไรต้องกลัวเลย จริงๆ เขากลัวมนุษย์จิตสว่าง กลัวมนุษย์ที่บำเพ็ญธรรม แต่หากเจอคนที่ไม่บำเพ็ญ พวกนี้ก็จะชอบเพราะมีกระแสเดียวกัน คือ มืด การรู้เรื่องสถานที่ที่มีผีมาแทรกแซงที่อยู่อาศัยก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน
ตอนที่บ้านเช่าของครอบครัวเว้นร้างจากการมีผู้มาเช่ากว่า 4 เดือน ก็เคยมีวิญญาณเข้าไปยึดครองเช่นกัน อาจารย์ต้องส่งกระแสจิตกำราบให้ออกไปอยู่เนืองๆ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน พวกนี้ก็จะยึดและทำตัวเป็นเจ้าของ แล้วพอมีใครมาดูและอยากจะมาเช่า วิญญาณนี้ก็จะไปแทรกแซงจิตคนที่มาดูให้รู้สึกไม่อยากจะเช่า เพราะเมื่อบ้านมีกระแสจิตมนุษย์ที่มีพลังเข้มข้นกว่าเพราะมีกายสังขารเข้ามาอยู่เสียแล้ว ตัวเองก็อาจจะกระเด็นออกจากบ้านไป
คนที่จะขายบ้าน แม้แต่คอนโดประเภท ซื้อๆ แล้วคิดว่าจะขาย โดยไม่ได้แวะไปแสดงความเป็นเจ้าของเลย ก็จะทำ ให้ขายได้ยากขึ้น เพราะมักมีวิญญาณไปอาศัยแล้วก็คอยกระซิบเป่าหูคนที่มาดูให้ไม่ชอบคอนโดหรือบ้านนั้นๆ อย่าคิดว่าคอนโดสร้างใหม่จะปลอดวิญญาณที่คอยหาที่อยู่ ผู้มีทรัพย์สินหลายแห่งควรแวะไปตรวจตราทรัพย์สินของตนเนืองๆ ด้วยการไปปรากฏตัวแล้วก็บอกกล่าวว่า…. “เราเป็นเจ้าของห้องนี้หรือบ้านนี้ อย่าได้มีผู้ใดมาครอบงำนะ เราขอ ให้เธอออกไปหาที่อยู่ใหม่ เราแผ่เมตตาให้” หากไปตรวจตราบ่อยๆ ก็จะขายหรือให้เช่าได้ง่ายขึ้น
ฟังดูเหมือนง่ายดี แต่ก็ง่ายจริงๆ ไม่ต้องไปหาพระที่ไหนทำพิธีอะไร แค่ไปแผ่เมตตาบอกกล่าว หรือพอไปนั่งสวดพระคาถาชินบัญชรในบ้านของตนสัก 3-7 จบ ซึ่งมีรัตนานุภาพในการปกปักรักษาเพื่อน้อมกระแสพระรัตนตรัยมาสู่เคหสถานร้าง ไปดูบ่อยๆ เขาก็จะรู้ว่าบ้านนี้มีเจ้าของก็จะออกไปเอง นานเท่าไหร่จึงถูกแทรกแซงพื้นที่ โดยเฉลี่ยก็ 20 วันขึ้นไปก็มีโอกาสแล้ว
โลกนี้เต็มไปด้วยสรรพวิญญาณที่คอยหาที่อยู่อาศัยระหว่างรอการเกิด วิญญาณเหล่านี้ก็คอยหาช่องว่า บ้านไหนที่ทิ้งร้างไม่มีใครมาเปิดปิดกุญแจเลย หากเห็นว่าชักได้ที่ ร้างมานาน ก็จะถือโอกาสกรูเข้ามาสิงอาศัย แต่บ้านของผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โอปปาติกะเหล่านี้จะเข้ามาไม่ได้ เพราะพลังพระรัตนตรัยปกปักรักษาให้ เพราะเมื่อภาวนาก็มีการแผ่เมตตาและสวดมนต์เนืองๆ
ใครจะทิ้งเคหสถาน เดินทางไปไหนนานๆ ต้องปิดบ้าน ทิ้งไว้ไม่มีใครเฝ้า ก็ควรสวดมนต์ตั้งจิตอธิษฐานขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และระลึกถึงบุญที่ตนทำไว้ดีแล้ว เป็นพลังปกปักรักษาเคหสถานที่จะเดินทางจากไปชั่วคราว อย่าให้มีอมนุษย์หรือวิญญาณใดๆ เข้ามาสิงอาศัย เพื่อให้ตนได้กลับมาอาศัยอยู่ เพื่อทำกิจทางโลกและทางธรรมให้สมบูรณ์
แม้ไม่ฝากบ้านไว้กับตำรวจ ก็อาจจะกลายเป็นฝากบ้านไว้กับผี หากไม่รู้จักดูแลให้เหมาะสม อย่างไรก็ดี อย่ามัวแต่ห่วงบ้านจนลืมดูแลจิตตนด้วยการเพียรภาวนา และฝึกความมีสติไว้กั้นกิเลส มิฉะนั้น ก็จะเป็นการยกจิตให้กิเลสเข้าครอบงำจนบรรลุธรรมไม่ได้
ขอให้พักผ่อนกับเทศกาลสงกรานต์ได้อย่างเป็นสุข ปลอดภัย และปลอดผี