Skip to content Skip to footer

พลังแห่งความสำรวม

สมัยพระพุทธกาล  ศาสนาของพระองค์แผ่ขยายอย่างรวดเร็ว ก็ด้วยสังคม สมัยนั้นเห็นความต่างของความสำรวมในพุทธบริษัท  เมื่อเทียบกับลัทธิ อื่นๆ ที่ออกไปในทางล่อกแล่ก  ไม่สำรวม  แล้วเมื่อได้สดับฟังพระธรรมเทศนา ก็ยิ่ง ทำาให้สาธุชนมีศรัทธาอันหนักแน่น

สิ่งที่ทำให้ผู้มีธรรมมีความแตกต่างจากผู้ไม่มีธรรมที่เห็นได้ชัดคือ…ความสำรวม สำรวมทั้งในกาย  วาจา  ใจ  สำรวมในศีลคือเป็นผู้ไม่เบียดเบียน  และสำรวมใน การแสดงออกที่สมควรแก่การเป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง บ่อยครั้งที่เรามักได้ เห็นฆราวาสผู้ดูมีศีลมีธรรม  แต่การแสดงออกขาดความสำรวม  นี่กล่าวเฉพาะ ผู้ที่มีศีล  ไม่ต้องไปพูดถึงผู้ที่แม้แต่ศีลห้าก็ยังรักษาไม่ได้ นั่นไม่ได้เรียกว่าไม่สำรวม อย่างเดียว  แต่เรียกว่าผู้ประมาทในธรรม  ส่วนผู้ที่มีศีลดีแล้วแต่ขาดความสำรวมนี่ ก็มีไม่น้อย ทำให้มีการแสดงออกที่ลุ่มหลงในกิเลสตัณหา  การกินอยู่อันไม่ประมาณ ไม่เหมาะควร  มีการแต่งกายและใช้คำพูดที่ไม่สุภาพ

หลักสำคัญในการอยู่เยี่ยงฆราวาสผู้หมายธรรมคือ….​ อยู่อย่างผู้สำรวม​ สำรวมในอายตนะ​ สำรวมในกิเลส​ ความ สำรวมคือเครื่องบ่งบอกคุณลักษณะจิตว่าบริสุทธิ์แค่ไหนและ​ ได้รับการอบรมบ่มเพาะมาเช่นไร…จิตที่ไม่สำรวมก็เพราะถูก​ กิเลสครอบงำและคาดคั้นให้ทำตามนิสัยกิเลส​ จิตที่สำรวม​ จะมีกำลังรู้คิดรู้พิจารณาและรู้จักการแสดงออก​ หากไม่มี​ ความสำรวมกาย​ สำรวมจิตเสียแล้ว​ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต​ หรือฆราวาส​ ย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมเสียทั้งแก่ตนและแก่​ พระพุทธศาสนา​ หลายคนคงไม่รู้ว่าอาจารย์ได้สอนศิษย์ว่า​ ​ ไม่ว่าการกระทำที่ทำทั้งในที่ลับ​ ที่แจ้ง​ ทำในหมู่เพื่อนหรือ​ ที่ใดก็ตาม​ ล้วนเกิดจากจิตทั้งสิ้น​ ผลของการกระทำจะถูก​ ประมวลออกมาเป็นการกระทำที่น่าชื่นชม​ สรรเสริญ​ น่า​ คลางแคลงใจ​ หรือน่าตำหนิติเตียน​ ก็ล้วนเกิดจากจิตดวงนี้​ ทั้งสิ้น…การจะบอกว่า​ ฉันเป็นของฉันแบบนี้​ ก็แสดงว่าไม่ให้​ ความเคารพในธรรมของพระพุทธเจ้า​ ไม่เคารพพ่อแม่ครูบา-​อาจารย์​ ไม่เคารพธรรมที่ตนได้​ มีรัตนะอยู่ในมือแล้วกลับ​ ทำให้รัตนะนั้นด่างพร้อยด้วยมือของตนเอง​ เป็นเรื่องที่ต้อง​ ติเตียนอย่างยิ่งด้วยการกระทำในกาลอันเป็นส่วนตัวแหละ​ สำาคัญที่สุด​ เพราะเวลาที่ทำความเสื่อมมา​ ก็ทำเพราะคิด​ ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวแทบทั้งสิ้น​ การไม่มีความสำรวม​ ปล่อย​ จิตให้เตลิด​ ไม่ระวังอายตนะ​ ล้วนนำมาซึ่งความเสื่อมใน​ ทุกระดับ

สมัยก่อนเวลาขับรถริมถนน​ อาจารย์ชอบมองนักเรียน​ เตรียมทหารเวลายืนรอรถเมล์เพื่อจะกลับบ้านเป็นหมู่คณะ​ ​ มองแล้วรู้สึกชื่นชมที่เขายืนตัวตรงเป๊ะ​ สง่างาม​ ไม่ล่อกแล่ก​ เป็นผู้ประคองสติรู้ตัว​ รู้รักษาสถาบันผ่านการแสดงออก​ ของตน​ ทุกยามที่มองช่างดูแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ยืนรอ​ รถเมล์เช่นกัน​ บ้างยืนคุย​ บ้างยืนหลังค่อม​ บ้างนั่งหลังงอ​ ​ บ้างล่อกแล่ก​ ทำให้มองเห็นความต่างของผู้ที่ฝึกฝนมาดีแล้ว​ กับผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนมา​ จิตเป็นเครื่องสั่งให้กายแสดงออก​ ​ หากกายไม่มีความสำรวมก็แสดงว่าจิตไม่สำรวม…เมื่อลูกสาว​ คนกลางนั่งเคี้ยวขนมกรอบอยู่ในรถเสียงดัง​ อาจารย์ได้เตือน​ ลูกว่า​ “อย่าเคี้ยวเสียงดังนะคะ​ หนูต้องมีความสำรวมทั้งใน​ ที่ลับและที่แจ้ง​ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง​ ต้องมีความเคารพ​ ตัวเองด้วยการเป็นผู้มีมารยาทแม้แต่ในยามที่อยู่เพียงลำพัง”

คนสมัยนี้นอกจากจะไม่สำรวมแล้ว​ ยังพอใจกับการ​ แสดงความไม่สำรวมของตนไปสู่ผู้อื่น​ และมีความเข้าใจผิด​ เป็นอันมากว่าโซเชียลมีเดีย​ อาทิ​ เฟซบุ๊ก​ เป็นพื้นที่ส่วนตัว​ ไม่เข้าใจว่าเฟซบุ๊กไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัว​ แต่เป็นพื้นที่สาธารณะ​ เมื่อโพสต์อะไรออกไป​ นั่นคือการโพสต์อัตลักษณ์ของตน​ ทั้งสิ้น​ ภาพอันใดที่ดูเหมือนไว้คุยกันแค่ในกลุ่ม​ อาจถูก​ขยายออกไปด้วยเทคโนโลยีหลากหลาย​ ความเป็นส่วนตัว​ ก็ไม่เหลืออีกต่อไป​ และบางครั้งยังกลายมาเป็นหอกทิ่มแทง​ ตนเองในวันที่พลั้งเผลอเพลินไปตามใจกิเลส​ มีดารา​ และคนดังกี่คนแล้วที่คิดว่า​ “แค่พื้นที่ส่วนตัว”​ เลยโพสต์​ ทั้งคำาหยาบ​ การแสดงอันไร้สติ​ จนแทบสิ้นสติเมื่อภาพ​ เหล่านั้นย้อนกลับมาทำร้ายตนเอง…ตราบใดที่เรามีความ​ สำารวมอยู่เสมอ​ จะไม่มีวันที่อดีตจะตามมาหลอนตนเลย​ ​ เราจะยังคงใช้ชีวิตไปตามครรลองโดยไม่รู้สึกถูกบีบคั้น​ ยังคง​ มีเพื่อน​ ยังคงแบ่งปันเวลาแห่งความสุขและความทุกข์​ หรือ​ เรื่องราวดีๆ​ ในชีวิตที่ผันผ่านมาได้​ ผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ​ ​ ขอเพียงให้มีความสำารวมและรู้คิดพิจารณาเสมอถึงสิ่งที่เรา​ ต้องการสื่อแก่ผู้อื่น​ ไม่ต้องรอให้เป็นอริยชนก่อนแล้วค่อย สำรวม​ ต้องสำรวมตั้งแต่ที่นับถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

คำาว่าสำรวมยังหมายถึงการเป็นผู้มีความอ่อนน้อม-​ ถ่อมตน​ ไม่แสดงอากัปกิริยาที่ไร้มารยาท​ ไม่แสดงความ​ ลุ่มหลงจนเกินงาม​ ผู้หญิงที่สำรวมย่อมรู้ว่ากาลใดควรที่จะ​ แต่งกายเช่นใด​ และย่อมไม่แต่งกายให้ผู้อื่นเกิดความกำหนัด​​ ผู้สำารวมย่อมรู้ว่ากายนี้ห่อหุ้มไว้ด้วยของสกปรก​ ต่อเมื่อยัง​ ต้องอาศัยกายนี้เป็นฐานในการยังชีวิต​ ก็จะดูแลกายและ​ ภาพลักษณ์ไม่ให้เป็นที่รังเกียจแก่สายตาของผู้อื่น​ เมื่อโลก​ ยังติดและชื่นชมอยู่ในสมมติ​ ก็ย่อมแสดงให้เขาเห็นว่า​ ​ ธรรมะทำให้บุคคลดูอ่อนโยนขึ้น​ ดูสงบขึ้น​ ดูน่านับถือ​ ​ ดูกายบริสุทธิ์​ วาจาบริสุทธิ์​ การกระทำก็ดูน่าถือเป็น​ แบบอย่าง…การสำรวมไม่ใช่เฉพาะเวลาอยู่ที่วัด​ แต่ต้อง​ สำรวมเสมอ​ โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับตนเอง​ เพราะการ​ ให้ความเคารพจิตวิญญาณของตนเองเป็นอันดับแรก​ ​ เป็นก้าวสำคัญในการเคารพผู้อื่นได้อย่างจริงจัง

เมื่อใดที่เราให้ความเคารพจิตวิญญาณของตัวเอง​ ​ ก็จะเกิดมีความเคารพผู้อื่น​ และนำามาซึ่งการมีความสำรวม​ อันเป็นสมบัติของอริยชน​ และนำไปสู่การได้นิพพานสมบัติ​ ในท้ายที่สุด