Skip to content Skip to footer

อานิสงค์แห่งกุศลที่ทำด้วยมือ

หากเราเชื่อเรื่องของกฎแห่งกรรมและหลักแห่งเหตุและผลอันเป็นหลักอิทัปปัจจยตา เราจะเห็นว่ามนุษย์ในโลกนี้มีความต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ไม่ว่า จะเป็นฐานะในการเกิด ความมั่งมี ฐานะกลางพอดีๆหรือยากจนขัดสน หน้าตาผิวพรรณ หยาบหรือละเอียด เสียงที่ไพเราะหรือไม่ชวนฟัง สติปัญญาปราดเปรื่องหรือโง่เขลา มักได้เป็นที่รักหรือทำาอะไรก็มีแต่คนชิงชัง

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะบุญทำ กรรมแต่ง ออกมาเป็นดีเอ็นเอของแต่ละคนทั้งสิ้น ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ผลิตกันไว้เองทั้งนั้น

ในฐานะที่เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนา กรรมหนึ่งที่มีศิษย์หลายคนประสบเป็นอันมาก ก็คือ “ความคับแค้นใจ” ทำาสิ่งใดไม่เคยสำาเร็จ ต้องพบกับความยากลำาบากไปเสียทุกสิ่ง ทุกอย่าง มีแต่กล้ำากลืนฝืนทน เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะในอดีตเขาได้เป็นผู้หว่าน เมล็ดพันธุ์ที่ขมเอาไว้ เป็นผู้ที่ขัดขวางการทำาคุณงามความดีของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำาความดีต่อพระศาสนาและส่วนรวม นี่กรรมหนักนัก

ชีวิต แม้จะเกิดมาด้วยความมืด แต่จงอย่าเดินไปสู่ ทางที่มืดยิ่งกว่า ขอให้ตระหนักว่า อดีตเปลี่ยนไม่ได้ แต่ การทำาปัจจุบันให้ดี แม้ว่าจะต้องฝ่าความยากลำาบากใด สามารถพลิกอนาคตที่ถูกลิขิตไว้ด้วยกรรมเก่า ด้วยการ ทำากรรมใหม่ที่มีอานุภาพแห่งกุศลยิ่งได้ ดังนั้นจงอย่า คร่ำาครวญถึงแต่อดีต แต่จงมุ่งมั่นทำาความดีไว้ให้มั่น

การจะทำาปัจจุบันให้ดี ขนาดมีอานุภาพพลิกชีวิตได้ ก็ต้องรู้จักศึกษาหนทางเอาไว้บ้างว่า การงานใดที่จะทำา ให้ตนได้แก้ไขพลิกฟื้นชะตาขึ้นมาได้ คนเรามีสองมือสอง แขนเท่ากัน แม้แรงทรัพย์อาจต่างกัน แต่แรงกายนั้นมี ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ด้วยพลังงานชีวิตที่มีอยู่จำากัด จะใช้ อย่างไรให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นได้มากที่สุด

ในพระโอวาทปาติโมกข์ข้อ 2 คือ “การทำาความดี ให้ถึงพร้อม” คำาว่าถึงพร้อมคือการให้แบบไม่มีสิ้นสุด การสละแบบไม่หวังผลตอบแทน ไม่ใช่การทำาความดี แบบที่ส่วนใหญ่เขาทำากัน คือทำาเล็กๆน้อยๆก็ว่าทำาแล้ว ชีวิต 90% ให้ตัณหา เหลือ 10% มาทำาความดี บางคน ทำาความดีเพราะหวังรวย นี่ก็กลับกลายเป็นทำาความดี ให้ถึงซึ่งความพร่อง คือทำาเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม เพราะ จิตมันมีแต่ตัณหา

การสละแบบนี้ไม่จำาเป็นต้องเป็นแต่เรื่องของศาสนา เท่านั้น เรื่องใดก็ตามที่ใจมันให้เกินร้อย ไม่ได้หวังสิ่งใด นอกจากอยากให้หรืออยากตอบแทน นี่ก็พร้อมจริงๆ เหมือนคนไทยจำานวนมากที่ออกมาแสดงพลังบนท้องถนน เพื่อแสดงเจตจำานงให้ชาติพ้นจากการปกครองของเหล่า อธรรม ทั้งๆที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรที่จะได้ไปอยู่ ในฐานะของชนชั้นปกครองเลย แถมยังต้องหาเช้ากินค่ำา แต่ก็ยังฝ่าสังขารไป นี่ก็คือความดีอันถึงพร้อมเช่นกัน เพราะเป็นการสละ การทำาความดีเช่นนี้ยังมีอานิสงส์ มากกว่าการเดินสายทำาบุญ 9 วัด แต่ไม่เคยไปให้ถึงวัด จริงๆ เพราะใจมันไม่ได้ถึงธรรมที่อยู่ในวัด

การลงแรงทำาอะไรด้วยมือด้วยใจจริงๆ ทั้งเสียและ ทั้งสละ ที่รวมกันเป็นเสียสละ จึงจะเกิดเป็นความดีที่ ถึงพร้อมได้ บางคนทำาได้แค่ยอมเสีย แต่ไม่ยอมสละ คือไม่ยอมลดละความมีอัตตาของตัวเอง พอมีอะไรมา กระทบความเป็นตัวตน ก็ปล่อยให้อกุศลจิตเข้าครอบงำา ทำาให้การทำาความดีของตนพร่องไป ดังในเรื่องบอกเล่า ของพระควัมปติ ที่ท่านมักเดินทางไปพักกลางวันที่ เสริสสกวิมาน หรือวิมานที่ว่างเปล่า ครั้งนั้นปายาสิ เทพบุตรได้เข้าไปทำาความเคารพต่อพระเถระ ท่านก็ถาม เทพบุตรว่าเป็นใคร ปายาสิเทพบุตรตอบว่า เมื่อครั้งเป็น มนุษย์ ตนคือพระเจ้าปายาสิ พระราชาเมืองเสตัพยะ แล้วพระเถระถามว่า มาณพชื่ออุตตระผู้เป็นคนจัดการ ให้ทานแทน ท่านไปเกิดอยู่ที่ไหน

“อุตตรมาณพเป็นผู้ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือ ของตน นอบน้อมให้ทาน ให้ทานแบบสละโดยไม่มีความ ตระหนี่ ตายไปแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วน ตัวกระผมไม่ได้ให้ทานโดยเคารพ ไม่ได้ให้ทานด้วยมือของ ตนเอง ไม่ได้นอบน้อมให้ทาน ตายแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ ชั้นจาตุมหาราชิกาอันต่ำากว่าชั้นดาวดึงส์ อยู่ในวิมานชื่อ เสรีสกะอันว่างเปล่า”

ว่าแล้วปายาสิเทพบุตรได้ขอร้องพระเถระควัมปติให้นำา เรื่องของตนไปบอกเล่ายังโลกมนุษย์ด้วยว่า จงถวายทาน โดยความเคารพ ถวายทานด้วยมือของตน ถวายด้วยความ นอบน้อม ถวายทานที่เลิศ ทั้งนี้ก็เพื่อมนุษย์ได้รู้ถึงอานิสงส์ จากความผิดพลาดของตนที่ติดในความเป็นพระราชา จึง ติดกับอัตตาของตนเอง ทำากุศลแต่ติดฐานะอันยิ่งใหญ่ ของตน จิตไม่น้อม ได้แต่ใช้คนอื่นทำาให้ ไม่ต่างอะไรกับ เศรษฐีเมืองไทย ใหญ่โตกันทั้งนั้น สุดท้ายพระราชาก็ได้ เพียงวิมานอันว่างเปล่า ไม่มีทรัพย์อันเป็นทิพย์ใดบังเกิด แก่ตน ฐานะก็ตกต่ำากว่าคนที่ตนใช้ให้ทำาบุญให้เสียอีก

เรื่องนี้แสดงถึงการทำาความดีอย่างถึงพร้อม ต้อง ประกอบด้วยการสละแรงกายแรงใจบ้าง ไม่ใช่ใช้แต่การสั่ง หรือได้แต่ฝากใจ แต่ไม่เคยลงแรงทำาด้วยตนเองเลย และ แม้บางคนจะลงแรงแล้ว แต่กลับไม่ยอมลงใจ คือไม่ลดละ อัตตาและมานะของตน

หากการมาทำาความดี มาแต่ตัว แต่ก้มหัวไม่ได้ ก็อย่า ไปหวังจะมีอานิสงส์ใดไปพลิกชีวิตกับใครเขาเลย อยู่แบบ มืดบ้าง สว่างแบบสลัวๆ สลับดีสลับชั่วต่อไปแบบนั้นก็แล้ว กัน เพราะคำาว่าถึงพร้อมคือการสละคืน ไม่ได้หมายถึงแค่ สละกำาลังกายและกำาลังทรัพย์ แต่หมายถึงละวางอัตตา และมานะด้วย นี่คือความดีอันถึงพร้อม