Skip to content Skip to footer

เกิดแต่เหตุ

อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล

การจะกล่าวถึงเรื่องในวงในวิปัสสนา ไม่มีอะไรที่กล่าวแล้วจะเข้าจิตเข้าใจได้เท่าเรื่องของกรรม เพราะเวลาพูดถึงเรื่องจิต ท่านยังสงสัย แต่พูดเรื่องกรรมแล้ว “ชัด” เพราะ ประสบด้วยตัวเอง รู้แจ้งว่าตัวเองประสบกรรมยังไง ศิษย์ภาวนามากเข้า หลายคนได้ระลึกกรรมของตัวเอง ได้เห็นแล้วสังเวช และอยากจะนำมาเป็นเครื่องเตือนใจเพื่อให้ท่านไม่ประมาทในกรรม และเพื่อให้ท่านคลายความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ ในความปรุงแต่ง ความน้อยเนื้อต่ำใจ

การหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมเรื่องนั้นเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นแก่ตน อย่าลืมว่าเราเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แต่ละภพแต่ละชาติกล่าวได้ว่าส่วนใหญ่ 70% มาสร้างกรรม ก่อกรรมทำเข็ญชาวบ้าน น้อยเหลือเกินที่จะมีโอกาสได้ประกอบกุศลกรรมอันยิ่ง เพราะฉะนั้นการที่เราสะสมกรรมเวรมากเข้าๆ พอถึงเวลากรรมดีสนองผล กรรมชั่วตามล่า ทำให้ชีวิตนั้นประสบความไม่สมหวังเป็นอันมาก ประสบทุกข์เป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นความผิดหวัง การถูกโกง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ แม้กระทั่งบำเพ็ญแล้วไม่มีความก้าวหน้า ทั้งๆที่น่าจะก้าวหน้า

กรรมของศิษย์ที่ได้ระลึกรู้มาที่ว่าตนเองนั้นสั่งเผาเชลยศึกทั้งเป็น ไม่มีความเมตตากรุณาแม้แต่น้อยอยู่ในจิต ศิษย์ในสายธรรมที่เป็นทหารเยอะมาก ในทุกการเข่นฆ่าของเราคือ การทำลาย ทำลายชีวิต ทำลายทรัพย์สิน ทำลายโอกาส แม้ว่าเจตนาจะดี เจตนาจะรักษาชาติ รักษาศาสนา แต่เต็มไปด้วยการทำลายล้าง แล้วจะไม่ประสบกรรมได้อย่างไร ท่านต้องยุติธรรมต่อกรรม ต้องเข้าใจในวิถี จะได้ไม่ให้จิตนั้น เกิดไปก่อกรรมทำเข็ญก่อเวรกับผู้ใดอีก

มีศิษย์ระลึกขึ้นมาว่าตัวเองเสียตาไปข้างหนึ่ง ต้องผ่าตัดตา แต่กว่าจะผ่าได้ จะเปลี่ยนตาได้ ก็ต้องรอให้มีคนเขาบริจาคดวงตาให้ ลองคิดดูว่าพวกที่เสียตาไปข้างหนึ่งจะทุกข์เวทนา ทุกข์ในจิตขนาดไหน แล้วระลึกกรรมขึ้นมาได้ว่าตนเองนั้น เป็นนายพราน เคยเอาธนูไปยิงตาของกวาง กวางถือว่าเป็นสัตว์ชั้นสูง นี่กรรมอีกเหมือนกัน ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ถึงขนาดต้องผ่าตัดเปลี่ยนดวงตา ในทางการแพทย์จะบอกว่า ป่วยด้วยโรคอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกอย่างต้องมีเหตุก่อน แต่เหตุที่ว่านั้น จริงๆแล้วเบื้องลึกคือการส่งผลของกรรม

ศิษย์คนหนึ่งป่วยติดเตียงโดยที่แทบจะไม่มีเหตุอันสมควรแก่การป่วยเลย แต่เป็นการผลักดันของกรรมที่ทำให้ต้องเป็นอยู่ในสภาพเหมือนเป็นอัมพาตนอนติดเตียง เป็นภาระให้แก่ผู้อื่น แทบจะไม่มีโอกาสมาภาวนา แทบจะไม่มีโอกาสลุกขึ้นเดินได้เลย แต่ด้วยอำนาจของบุญกุศลที่ทำเพื่อพระศาสนา ในที่สุดก็ผ่านมาได้

พระคุณเจ้ารูปหนึ่ง ท่านน่าจะมีความก้าวหน้า แต่ติดอยู่อย่างนั้น ไปไหนไม่ได้ชั่วคราว เป็นกรรมปรามาสพระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านนุ่งห่มผ้า ซึ่งเรียกว่าดูด้อยค่าด้อยราคา ไปปรามาสว่านี่หรือผู้บรรลุธรรม อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรา ที่หาเหตุผลไม่ได้ ไม่ว่าเราจะทำดีอย่างไร หรือเราจะป้องกันอะไรอย่างดีแล้ว ยังมีเรื่องราว ความไม่สมหวัง หรือทุกข์ใดๆที่เกิดขึ้นเป็นอันมาก อยู่ๆมีคนมาโกง บางทีหยิบยื่นทรัพย์ไปให้เขาโกงเสียอย่างนั้น หรือมีฐานะ มีความขัดสน มีลูกไม่ดี มีลูกเป็นอริ มีคู่ครองเป็นศัตรู กรรมทั้งนั้น กรรมที่ทำให้ต้องมาพัวพันมาผูกกัน ถ้าเรายังไม่วางแล้วไปต่อสายกรรมนี้เข้าไปปล่อยให้จิตนั้นมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ความยึดมั่นถือมั่น ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุมี สิ่งนี้จึงเกิด เท่ากับเราผูกตัวเองไว้กับกรรม เราไม่ปล่อยวาง

การปล่อยวางนี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ท่านทำอะไร จงทำต่อไปด้วยศรัทธาในความดี มุ่งมั่นต่อไป และยอมรับว่า เมื่อเกิดมานั้นเราไม่ได้มีอะไรติดตัวมาด้วย และเมื่อเราได้มีโอกาสในชีวิต บางอย่างพร่องไปบ้าง ถูกกระทำบ้าง ทั้งๆที่ไม่ควรจะเกิดเป็นเหตุ ต้องพบกับความสูญเสียเป็นอันมากบ้าง ยอมรับว่าคือผลของกรรม อย่าไปก่อให้เกิดเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ อย่าสร้างกรรมใหม่เพิ่มอีก มิฉะนั้นท่านจะตกจากเรือ กว่าจะขึ้นมาได้นั้นยาก อย่าเอาเหตุเพียงเล็กน้อยที่เป็นมายาในโลกมาทำให้ชีวิตของท่านนั้นพ้นไปจากทางของความสิ้นกรรม กรรมเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงมิได้ ยังเป็นสิ่งที่เราทำมาทั้งชีวิต เบียดเบียนเขามาทั้งชีวิต ทั้งในอดีตชาติมากมาย ที่ระลึกไม่ได้ นั้นเยอะไปหมด แต่พอถึงเวลาต้องใช้กรรมแล้วปฏิเสธ

ขึ้นชื่อว่ากรรม มีลักษณะทำ ให้ใจเป็นทุกข์ ถ้าเราวางใจ ให้เข้าใจ มีทุกข์แล้ววางเสีย ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องไปรู้สึก เป็นมนุษย์ต้องรู้สึก รู้สึกทุกข์ รู้สึกสุข แต่ถอนความพอใจ และไม่พอใจออกไปเสียได้ แล้วมุ่งหน้าเดินตามเส้นทางของ ความดีอย่างมั่นคงต่อไป ถึงเวลาเมื่อกรรมดีที่ท่านทำ สนองผล จะทำ ให้ท่านนั้นได้ถึงฝั่งอย่างสวัสดี แล้วได้ทำ ประโยชน์เกื้อกูล โดยเฉพาะในสายธรรมของเรานี้ มีความมุ่งมั่นในการปกป้อง พระพุทธศาสนา ศิษย์หลายคนผ่านวิบากหนักมาได้ด้วยบุญ ของการปกป้องพระพุทธศาสนา ซึ่งการปกป้องนั้นต้องมี ลักษณะของผู้ที่กล้าจะเผชิญทุกข์ กล้าที่จะเผชิญกับผู้ที่หมิ่น ที่หยามเหยียด เป็นผู้ที่กล้าทำ ในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำ  เขา ละเลย หรือเขาแกล้งไม่เห็น หรือเขากล้าไม่พอ

เพราะฉะนั้นในระหว่างทางเดินของท่านเพื่อพ้นกรรม ท่านได้ประกอบบุญใหญ่อยู่ตลอด จงอย่าท้อถอย และ เข้าใจในกรรม

จงถอนความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่เป็นทุกข์ทั้งปวงนั้นเสีย ด้วยความเข้าใจ เข้าใจในสิ่งทั้งหมดที่ทำให้เกิดทุกข์นั้น คือกรรม เมื่อท่านถอนอารมณ์นั้นได้ บุญกุศลจึงจะหนุนนำ ท่านได้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง อย่าได้ก่อกรรมใหม่ อย่าได้ก่อให้เกิดปฏิฆะ เกิดความคับแค้นใจ น้อยเนื้อต่ำใจ ไม่มีหรอก ที่ถ้าเราทำดีมาบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วจะมีใครมาเหยียดหยามเรา หรือมาทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ วางแล้วให้อภัยทุกคน ให้อภัยในศัตรูผู้ปองร้าย ให้อภัยกับคนที่เขาทำให้เราเป็นทุกข์ และตั้งจิตอันปรารถนาดี ขอให้เขาไม่ประกอบกรรม ให้เขาได้พบธรรมอย่างที่เราพบแล้ว ขอให้การบำเพ็ญของเรานี้เกื้อกูลทั้งเรา เกื้อกูลทั้งเขา เพราะทุกคนนั้นล้วนมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรมได้ ท่านต้องถอดถอนความติดใจ และติดค้างใจในเงื่อนกรรม ด้วยการยอมรับโดยดุษณี แล้วมุ่งหน้าเดินต่อไปโดยไม่ให้ใจติดค้าง มีแต่การให้อภัย เป็นการถอดถอนรหัสสังขาร ถอดถอนสิ่งที่ติดฝังจิตมา ปล่อยวางสิ่งที่ติดค้างใจ เพื่อให้จิตนั้นเป็นอิสระ สิ่งใดที่ติดตามมาคือ เครื่องทดสอบ คือการต้องตอบแทน แล้วจิตท่านจะเดินทางสู่พระนิพพานได้โดยดี โดยไม่มีกรรมใดสามารถจะหยุดยั้ง ในการเดินทางข้ามห้วงมหรรณพนี้ได้อีก

เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ เมื่อยอมรับได้ย่อมผ่าน วิกฤตต่างๆไปได้ด้วยความเข้าใจ เมื่อตั้งสติไว้มั่นแล้ว ท่านจะสามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์ ขอท่านทั้งหลายเป็น ผู้เข้าใจในกรรม ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆไปได้ด้วยดี มีใจที่หนักแน่น และมีความเจริญในธรรมสืบไป

อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 56 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่