เมื่ออาจารย์ได้อ่านคำ ทำ นายความเสื่อมในพระศาสนาของพระพุทธเจ้า ที่อ่านไปแล้วก็เกิดขนพองสยองเกล้า คือรู้ด้วยญาณสัมผัสว่าจักเกิดเป็นจริงตามนั้น ซึ่งแม้ผู้ไม่มีญาณก็เห็นอยู่แล้วว่าจริงเพียงใด ในคำทำนายที่ถ่ายทอดมามีความว่า
เมื่อล่วง 1,000 ปี จะไม่มีพระภิกษุใดบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ
เมื่อล่วง 2,000 ปี จะไม่มีภิกษุใด เหาะเหินเดินอากาศได้คนทั้งหลายจะหันไปเคารพผี วิญญาณ มาร และมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอันมาก ต่างจะพากันล่มจมและตกนรก
เมื่อล่วง 3,000 ปี จะไม่มีปัญญาอยู่ท่ามกลางมนุษย์ โลกจะร้อนเป็นไฟ
เมื่อล่วง 4,000 ปี จะไม่มีพระภิกษุเหลืออยู่แล้ว บาตรไตรจีวรจะสิ้นสูญ คือไม่มีสงฆ์อีกแล้ว
เมื่อล่วง 5,000 ปี ผู้คนจะพากันหมิ่นพระศาสนา ใครใคร่ทำ อะไรทำ ใครใคร่ทำ ร้ายชีวิตใครก็ทำ จะสิ้นสุดศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดม
ในกรณีแรกเมื่อล่วง 1,000 ปี จะไม่มีพระภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทาญาณสี่ประการคือ อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ คือการรอบรู้แตกฉานในธรรม และกล่าวอธิบายได้อย่างพิสดาร ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม ที่มาของเหตุปัจจุบันหรือจากอดีตชาติ นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ คือเข้าใจภาษาได้หลายภาษาทั้งๆ ที่ไม่ได้เคยเรียนมาก่อน รวมถึงภาษาสัตว์ ภาษาเทพ เป็นการเข้าถึงที่เกิดจากญาณ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบฉลาดเฉลียว ว่องไว สามารถแก้ข้ออรรถธรรมได้อย่างรวดเร็วจนผู้ฟังต้องยอมจำนน นี่คือล่วงพันปีแล้วจะไม่มีภิกษุใดที่บรรลุอรหันต์ ได้โดยมีปฏิสัมภิทาญาณครบทั้ง 4 ประการ จะมีแต่ผู้ได้ปฏิสัมภิทาญาณในบางข้อ
ส่วนในปีของพวกเรา คือ ล่วง 2,000 ปี คนทั้งหลายจะลุ่มหลง หันไปเคารพภูตผีปีศาจ มาร และมิจฉาทิฏฐิเกิดขึ้นทั่ว ผู้คนจะพากันล่มจมและตกนรก ในข้อนี้เป็นหัวใจสำคัญที่อยากจะยกมาพูดถึง เพราะนับแต่โลกมุ่งไปที่วัตถุนิยมสุดโต่ง หลงเงิน หลงความร่ำรวยและชื่อเสียง คนพากันทำพิธีบูชาพระราหูชนิดลืมไปว่าตนเคยกล่าวคำว่า ขอถึงซึ่งพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เรียนธรรมะ เอาปริญญามาอวดกัน แทนที่จะศึกษาเพื่อปฏิบัติให้พ้นทุกข์ สอนทำ บุญให้หวังผล ทำมากรวยมาก เล่นกับมันสิ สวนทางกับแก่นธรรมชนิดเอาหางมาอยู่หัว ไม่สอนให้ละให้สละ แต่สอนให้โลภ สอนให้หลง
บางคนก็ทำตัวเป็นธรรมะอินเทรนด์ ธรรมะจำอวด ฟังธรรมพาเพลิน ไม่ใช่ฟังให้เตือนตนเตือนสติ บางคนฟังธรรมดีกว่าดูตลก เอาหลักธรรมมาเล่นจำ อวด บางคนเอาพระธรรมมา เล่นคอนเสิร์ตธรรมะในสวน ธรรมะพาเพลิน แต่หารู้ไม่ว่า ยิ่งร้อง รากกิเลสมันยิ่งงอกๆๆ มารมันยอมให้มีธรรมแบบผิวๆ แต่ ข้างในมันนั่งหัวเราะตัวโยกตัวคลอน เพราะมันรู้ว่า ยิ่งร้อง ยิ่งหลง ยิ่งเพลิน ยิ่งยึด
ดูพลังมารเถิด เล่นกับมันสิ เรื่องธรรม เรื่องบุญบาป เรื่องนรกสวรรค์ไม่สอน ไม่พูดถึง บอกถ้ามีจริงต้องเห็น ไม่เคยปฏิบัติ แต่เถียงธรรมอย่างหนาตราช้างเลย แล้วยิ่งสมัยนี้โลกเชื่อมกันทั้ง โลก กระแสกิเลสพันกันยิ่งกว่าสายไฟ ใครใส่ความคิดที่เห็นผิด ลงไป แต่ไปเข้าทางชอบใจพวกที่ไม่อยากเห็นถูก พวกมิจฉาทิฏฐิ เชียร์เสียงดังกลบคนดีเสียงค่อย มันก็กวาดคนพากันล่มจมหมด เลย คือกวาดกันทางเว็บ ล่มจมกันเป็นพวกๆ ไปเลย
ตอนที่ข่าวของ “หลวงตามหาบัว” ท่านช่วยชาติ ด้วยการรับบริจาคเงินเข้าคลังหลวงเพื่อค้ำยันสกุลเงินบาทไว้ไม่ให้มีค่าเป็นแบงก์กงเต๊ก คนไม่รู้กุศโลบาย หรือขนาดท่านอธิบายแล้วอธิบายอีก พวกไม่ยอมเข้าใจก็รุมด่าว่าพระอรหันต์ ทำไมมายุ่งกับเงินทอง ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัวเลย เป็นเรื่องของความอยู่รอดของชาติล้วนๆ คนก็ด่าท่านชนิดไม่กลัวบาปกรรมเลย ข่าวลงอินเทอร์เน็ตที ก็กวาดลงนรกกันไปชุดใหญ่เป็นพันเป็นหมื่น ทำบาปกันง่ายดาย ล่มจมกันง่ายดายมาก
ข่าวปกป้องพระศาสนาของโนอิ้งบุดด้าฯ องค์กรเราได้ไป ลงในเว็บข่าวผู้จัดการที่เป็นเว็บข่าวที่มีคนอ่านมากที่สุด ได้ขึ้น เป็นประเด็นใหญ่ มีคนเข้าไปอ่านถึง 40,000 คน คนเห็นด้วย ก็มี แต่บางคนมันแกว่งมือมาพิมพ์ บอกไม่เห็นเป็นไร บางคน บอก ใครอยากย่ำ ยีพระรูปพระศาสดาก็ทำ ไป ยึดมั่นในธรรม อย่างเดียว ปล่อยวางแล้ว แค่นี้ คนที่เข้าไม่ถึง สักแต่ว่าอ่าน เจอ คำ อะไรนะ “ธรรมะ” กับ “ปล่อยวาง” กลัวคนอื่นเขาไม่รู้ว่าตัว รู้จักคำ ว่า “ปล่อยวาง” กับเขาเหมือนกัน รีบกดโหวตกันเยอะ แยะ กวาดลงไปอีก เพราะในประเด็นที่เขามาเขียนความเห็น นี้เป็นการชี้นำ ให้คนละเลยต่อผู้ที่ลบหลู่พระศาสดา ใครอยาก เหยียบย่ำ ยังไงก็ทำ ไป เราวางแล้ว
เราอยากให้คนที่บอกว่าวางแล้ว ไม่ถืออะไรแล้ว ลองมั้ย มีบริษัทฝรั่งเอาพระพุทธรูปไปใส่ไว้ในรองเท้าแตะฟองน้ำ เป็นภาพพระเศียรเต็มๆ เลยกล้ามั้ย กล้าเหยียบมั้ย ถ้าบอกว่านี่ ไม่ใช่ภาพสัญลักษณ์ของพระศาสดา
อาจารย์ไม่กล้าหรอกนะ เราปล่อยวางแบบพวกอวดรู้ไม่เป็น เราไม่วางเลย ไม่วางความดี แต่จะทำแต่ความดี และมีแต่มุ่งเผาความโง่ทิ้งไป เพื่อจะได้ละได้ในความสุขและความทุกข์ เพื่อจะละได้ในกิเลสที่พาให้เศร้าหมอง ปล่อยวางกิเลส ไม่ใช่ปล่อยวางธรรม
“มิจฉาทิฏฐิ” นี่แก่กล้ามากในยุคของพวกเรา จำไว้เถิด ปกป้องลูกหลานของพวกท่านให้ดีเถิดในเรื่องนี้ จนเดี๋ยวนี้ต้องสอนศิษย์ว่า ให้สอนลูกหลานให้อธิษฐานว่า ขอให้ห่างไกลจาก มิจฉาทิฏฐิ จนเด็ก 7 ขวบเอาไปเขียนการ์ดปีใหม่ให้คุณครูที่ โรงเรียนว่า ขอให้คุณครูห่างไกลจากมิจฉาทิฏฐิ อาจารย์เห็น การ์ดก็ขำ แต่ตอนนี้ขำไม่ออก เพราะได้ประจักษ์ว่ามิจฉาทิฏฐิ นี่แรงกล้ามาก คนมันจะปิดตาข้างเดียว รับฟังแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง แต่เรื่องจริงที่เป็นเหตุและผลไม่เอาเลย
คำ ทำ นายของพระพุทธองค์ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้เลย ดังนั้นท่านทั้งหลายต้องเร่งทำความเพียร ทำความดีให้ถึงพร้อม เพราะหากถึงไม่พร้อม เผลอนิดเดียวจะถูกกวาดให้ล่มจมลงไปด้วย และหากท่านต้องเวียนมาเกิดในยุคสุดท้ายช่วงใกล้ปี 5,000 นี่ จะยิ่งน่าสยดสยองยิ่งนัก พิจารณาตนให้ดี เราอยู่ในช่วงกึ่งพุทธกาลที่ยังพอมีแสงแห่งความหวัง แสงแห่งปัญญายังพอมีอยู่บ้าง ปล่อยให้ความล่มจมเป็นของคนโง่ แต่ท่านต้องไม่โง่ ต้องไม่พาตัวลุ่มหลงกับกิเลสตัณหา ท่านต้องฉุดพาตัวท่านและคนที่ท่านรักให้รอดพ้นไปจากวิบัติภัยแห่งการสูญสิ้นพระศาสนา เวลาในชีวิตเหลืออีกไม่มาก ฝ่ากระแสไปให้ได้ ว่ายข้ามฝั่งกันมาให้ได้ อย่าได้ต้องมีชีวิตมาเวียนเกิดในโลกมนุษย์อีก
เวลาอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป ขอให้เป็นคำอธิษฐานที่ “อยู่เหนืออำนาจกิเลสทั้งปวง” จงเมินเชิดใส่อำนาจแห่งมายา คำอธิษฐานขอให้รวย ขอให้รุ่ง ไม่ต้องเอามาผสมจิตให้อยู่กับความเศร้าหมอง จงอธิษฐานให้ห่างไกลจากมิจฉาทิฏฐิ อธิษฐานเพื่อการพ้นไปจากความทุกข์ ให้มีชีวิตที่รุ่งเรือง เพื่อการเกื้อหนุนให้มีปัญญาเห็นธรรม พึงอธิษฐานเถิดว่า
“ธรรมใดที่พระศาสดาชี้ทางไว้ดีแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้ถึงซึ่งธรรมนั้น”
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 59 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่
สำหรับลูกค้าในประเทศ