
คุยกับแม่ทัพ ททท.
หัวเรือใหม่ กับ ทิศทางการท่องเที่ยว 2024
คุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
นับแต่ประเทศไทยตัดสินใจเดินหน้าเปิดประตูต้อนรับ นักท่องเที่ยวอย่างเต็มตัวและเป็นทางการเมื่อปี 2523 ภายใต้แคมเปญ “Visit Thailand Year” หรือ “ปีท่อง เที่ยวไทย” นั้น ชื่อเสียงของประเทศไทยก็ขจรขจายเป็นวงกว้าง ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงดินแดน “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” อีกต่อไป แต่ยังเป็นดินแดนแห่ง “Sun, Sea, Sand” ที่มีความ สวยงามทั้งบนบกและใต้น้ำอันดับต้นๆ ของโลก
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคม วิถีโลก ที่มีเทคโนโลยีนำ ทำให้การใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป นำไป สู่รสนิยมการท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในขณะที่ ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่ต้องก้าวข้ามการทำงาน แบบเดิมๆ และหันมาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากขึ้นเพื่อ รักษาตำแหน่ง ‘จุดหมายในฝันของนักท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลก’ ให้ได้ ความท้าทายที่นอกเหนือตัวแปรอย่างปัญหา สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม โดยเฉพาะเมื่อปัญหาโลกร้อนทวีความ รุนแรงขึ้นทั่วโลก วิกฤติด้านสาธารณสุขอย่างโควิด ที่ทำเอาทั้งประเทศล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า อันเนื่องจากรายได้หลักของไทยนั้น มาจากการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ล่าสุด สงครามก็ ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวอย่างหนัก และมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นไปอีกนานพอควร
ทั้งหมดนี้คือโจทย์ที่ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คนใหม่ ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ หรือ “กลาง” อันเป็น ชื่อที่คนในวงการรู้จัก ต้องขบคิดและแก้ไข เมื่อเธอขึ้นมารับ ตำแหน่งแทนผู้ว่าการท่องเที่ยวคนเก่า “ยุทธศักดิ์ สุภสร” เมื่อวัน ที่ 1 กันยายน 2566 ในฐานะลูกหม้อขององค์กรที่อยู่มานานถึง 24 ปี และตำแหน่งสุดท้ายก่อนเข้ามาเป็นแม่ทัพ ททท. คือ รอง ผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ความคาดหวังที่ทุกฝ่ายและทุก ภาคส่วนมีต่อเธอนั้น จึงสูงลิ่วตามไปด้วย
จากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มีความฝันแค่อยากรับราชการและ ทำงานด้านสาขาการบริการ คุณกลางไม่เคยนึกเคยฝันว่า สักวัน หนึ่งจะมานั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของอุตสาหกรรมการบริการ เลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้ โอกาสที่จะได้ขับเคลื่อนหนึ่งในภาคส่วนที่สำคัญที่สุดของประเทศก็มาถึง
สิ่งที่อยากผลักดันให้ได้เมื่อได้มาอยู่ตรงนี้ และสิ่งที่ต้องการริเริ่มมีอะไรบ้างคะ
อย่างแรกเลย คือ ททท. จะต้องเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการตลาดการท่องเที่ยวในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และท้าทายในโลกดิจิทัลที่ทุกคนในโลกสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างแท้จริง ปัจจุบันนี้ เรามีปัจจัยใหม่ๆ ที่คาดเดาไม่ได้เกิดขึ้น ตลอดเวลา ซึ่ง ททท. จะต้องสามารถทางานได้อย่างไร้รอยต่อ และมีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งที่คิดและริเริ่มคือ เราจะใช้กลยุทธ์ PASS ซึ่งแยกออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ
P คือ Partnership 360 องศา หรือการประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในการ ร่วมกันขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศไทยในการสร้างรายได้ ให้ได้ทั้งจำนวนและคุณภาพตามเป้าหมาย เช่น การ หา partner ที่ตรงกับเป้าหมาย การลงทุนทางธุรกิจ เราต้อง ไปหา BOI แต่ถ้าเราต้องการเปิดตลาดใหม่ๆ เราก็ต้องไปหา ผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ ไปเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม สังคม ประวัติศาสตร์ บันเทิง
A มาจาก Accelerate Access to Digital World คือ การเร่งพัฒนาการใช้เทคโนโลยีมาเสริมความแข็งแกร่งภายใน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในทุกมิติ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ตัวอย่างเช่น การใช้ดิจิทัลเชิงสร้างสรรค์เพื่อขับเคลื่อนออกมา เป็น Inno-Culture Tourism โดยนำเรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยส่งเสริมงานประเพณี พัฒนาสู่วัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ เพื่อจับกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่ๆ พูดง่ายๆ ว่าเป็นการทำให้สังคมออนไลน์และออฟไลน์ เชื่อมกันชนิดไร้รอยต่อให้ได้ เพื่อให้เราคงความเป็นผู้นำ
S หรือ Sub – Culture Movement กลุ่มวัฒนธรรมย่อย เป็นกลุ่มที่ ททท. จะเร่งส่งเสริมผลักดัน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มี ศักยภาพสูงและกาลังเติบโตทั่วโลก โดยกลุ่มนี้ อันที่จริงเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่เป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายเงินเต็มที่ ถ้าเขาไปรีวิวหรือเขียนเล่าเรื่องที่เขาพบเจอตอนมาเที่ยวที่นี่ มันจะไปพาคนที่มีความสนใจเหมือนๆ กันให้มาได้รวดเร็วมาก
ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มที่ชอบเที่ยวแบบเน้นเรื่องกิน ก็จะมาจากนักท่องเที่ยวที่ชอบอาหารไทยมากเป็นพิเศษ ซึ่งถือเป็นกลุ่ม Niche แต่ในกลุ่มนี้ยังมีที่เป็น Sub-Culture ลงไปอีก คือเขาจะตามหาร้านมิชลินในไทย หรือ กลุ่มที่ชอบวัฒนธรรม ก็จะชอบวัฒนธรรมเฉพาะเจาะลึกลงไปอีก
S คือ Sustainably Now เราจะทำงานกับหน่วยงานภายนอก รวมถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยวในการร่วมกันสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในทุกมิติ เพราะ ณ วันนี้ เราต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้น ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นปัญหาที่ทั่วโลก ต้องใส่ใจ และนักท่องเที่ยวต่างชาติก็มองตรงนี้มากขึ้นเช่นกัน
ที่ผ่านมา ตัวเลขการท่องเที่ยวของไทยเพิ่มขึ้นมา แต่มาสะดุดกับประเด็นนักท่องเที่ยวจากจีนหลายครั้ง ตรงนี้มีแผนรับมืออย่างไรบ้างคะ เพราะเชื่อว่าในอนาคตน่าจะมีเหตุการณ์คล้ายกันอีกแน่นอน โดยอาจมาจากประเทศอื่น เช่นกัน
ตลาดนักท่องเที่ยวจีนนี่เป็นปัจจัยท้าทายของ ททท. เสมอเลย เพราะเป็นตลาดที่มีนัยยะสาคัญต่อการพลิกฟื้น อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ทั้งในแง่ของรายได้และจำนวน นักท่องเที่ยว ซึ่งครึ่งแรกของปี 2566 มีอัตราการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากปัจจัยท้าทายหลายประการ ข้อแรก คือ เศรษฐกิจในจีนชะลอตัว เงินหยวนอ่อนค่า ข้อ 2 คือ นโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศของจีนเอง กับ 3 กระแสข่าวด้านลบที่สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ด้านความ ปลอดภัยของประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการตัดสินใจเดินทาง
เราเองตระหนักถึงปัญหาและปัจจัยต่างๆ เป็นอย่างดี และประสานขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ ความสำคัญ 2 เรื่องหลัก คือ การอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว เช่น ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเอกสารการขอวีซ่าของนักท่องเที่ยวจีน ผลักดันระบบ e-visa และประสาน ตม. เรื่องปัญหาคอขวดบริเวณด้านตรวจคนเข้าเมือง
ล่าสุด รัฐบาลได้ประกาศนโยบาย Quick Win มาตรการ ยกเว้นการตรวจลงตราแก่นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน มี ผลตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ถึง 29 กุมภาพันธ์ปีหน้า ซึ่งตรงนี้ช่วยได้มาก และจะเข้ามาเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ ให้ทางนั้นเขาตัดสินใจมาเที่ยวไทยได้ง่ายขึ้น
ตอนนี้ เราก็เร่งฟื้นฟูภาพลักษณ์ด้วยเช่นกัน โดยร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดูแลและรักษาความปลอดภัย แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว 1155 กับมีแอปพลิเคชัน TOURIST POLICE I LERT U ให้นักท่องเที่ยวสามารถขอความช่วยเหลือ ตลอด 24 ชั่วโมงด้วยค่ะ
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 54 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่