ความธรรมดาที่ ไม่ธรรมดาของ
ตั๊ก-นภัสรัญชน์ มิตรธีรโรจน์
จากนักแสดงฝีมือฉกาจ สู่ครูโขน กับ ความฝันสืบสานมรดกนาฏศิลป์ไทย
เมื่อเอ่ยชื่อ ตั๊ก นภัสรัญชน์ มิตรธีรโรจน์เป็นเครื่องรับประกันได้ถึงนักแสดงฝีมือฉกาจ และเป็นคู่ชีวิตในอุดมคติของนางเอกตลอดกาลมากฝีมือ คุณป๊อก ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ ที่ใครๆต่างชื่นชมในรักแท้ของคนทั้งคู่ที่ยาวนานกว่า 21 ปีล่าสุดวงการบันเทิงก็ได้ดอกเตอร์มาประดับวงการอีกคน เมื่อคุณตั๊กจบปริญญาเอก สาขาวิชานาฏยศิลป์ไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แต่ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือ คุณตั๊กยังเป็นศิลปินโขนมายาวนานพอๆกับเป็นนักแสดง จากความอยากรู้อยากเห็นในศิลปะโบราณของไทย กลายเป็นความชอบ ที่ยิ่งนานวันยิ่งรักจนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงขนาดไปร่ำเรียนจริงจังจนกลายเป็นหนึ่งในหัวหอกในการปลุกปั้นชมรมโขนละครวัดมหาธาตุนาฏยศิลป์ไทย ให้เป็นแหล่งเพิ่มพูนสืบสานและต่อยอดความรู้วิชาโขนให้กับเด็กรุ่นใหม่
เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมการเรียนการสอนของชมรมที่วัดมหาธาตุฯ และพูดคุยกับคุณตั๊กในบ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือ ความเป็นกันเองและติดดิน พลังงานที่ล้นเหลือรวมไปถึงความกระตือรือร้นในการถ่ายทอดความรู้แก่เหล่านักเรียนตัวน้อย และยังได้ค้นพบอีกว่า กว่าจะมาเป็น ตั๊ก นภัสรัญชน์ ทุกวันนี้นั้นไม่ง่าย แต่ละก้าว คือ การค่อยๆย่างอย่างเชื่องช้ามั่นคง และอดทน ต้องขอบคุณการนั่งสมาธิฝึกฝนจิตตั้งแต่วัยเยาว์ที่ช่วยให้เขาได้รู้จักตนเอง นำไปสู่การยอมรับและเข้าใจในธรรมชาติของตน และนำความเข้าใจนั้นมาเป็นพลังผลักดันให้ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องงาน ครอบครัว และความรัก
เพราะอะไรถึงต้องเป็นโขน นาฏศิลป์มีหลายแขนง แต่ เพราะอะไรถึงลงเอยที่โขน และทราบมาว่าคุณตั๊กเล่นแต่ ตัวยักษ์ เพราะแค่ตัวเดียวก็มีเรื่องให้เรียนไม่หมดแล้ว
แค่ซ้อมท่าของตัวละครยักษ์ให้ถูกต้อง แล้วเวลาปรับใส่ท่าใหม่ๆ แล้วต้องซ้อมให้ถูกต้องอีก แค่นั้นก็เยอะมากแล้วนะ ทุกวันนี้ผมยังต้องทวน ต้องเรียนอยู่เลยคือ บางทีเราก็ลืมเราเรียนหลายปีแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ใช้บ่อยๆ ก็ลืมคือ ที่มันยากเพราะว่าแต่ละบท แต่ละตอนของโขน มันมีเรื่องไม่เหมือนกัน บทก็ไม่เหมือนกันตัวละครยักษ์ แต่ละตัวก็บุคลิกไม่เหมือนกัน แต่ละตัวบทบาทในแต่ละตอน และกับตัวละครอื่นๆ ก็ไม่เหมือนกันตัวละครยักษ์มีตั้งหลายตัว นอกเหนือจากตัวพระ ตัวนาง ตัวลิง
ครูบาอาจารย์สมัยก่อน ท่านสร้างไว้เยอะ เขาฝึกกันตลอดชีวิตและสมัยนั้นมีเวลาเยอะเขาตื่นกันตี 4 – 5 ซ้อมแต่เช้าเสร็จเที่ยงคืน ทำทุกวันตลอดชีวิต แล้วพอเขามาถ่ายทอดให้เรา แล้วบอกว่าเราได้แค่กระผีกเดียว ซ้อมแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อวันเทียบกันไม่ได้เลยกับครูบาอาจารย์ พูดแบบนี้คงพอจะเห็นภาพว่า ทำไมแค่คาแรกเตอร์เดียว ถึงต้องเรียนรู้กันตลอดชีวิต แต่ผมก็ทำให้ดีที่สุด ทำเท่าที่ทำได้ และสิ่งที่เราอยากทำคือ เราอยากดึงคนอื่นให้มาตรงนี้มาเรียนรู้ทำให้เขาเห็นว่ามันน่าสนใจ
ที่ผมสนใจอยากลองเล่นโขน เพราะไม่เคยเล่นเห็นแล้วมันสวยงาม ที่สำคัญคือผมไปเมืองนอกแล้ว พบว่าต่างชาติเขายอมรับศิลปะบ้านเรา ตอนนั้นผมไปเล่นละครเต้นให้กับทีมงานญี่ปุ่นที่กรุงเบอร์ลิน ตอนท้ายของการแสดงคนดูก็ตบมือกัน ทางหัวหน้าเขาก็ให้นักแสดงแต่ละคนออกไปโซโลแสดงความสามารถอะไรก็ได้ที่เป็นของตัวเอง ผมเลยถามว่า “ของตัวเองเนี่ยแปลว่าอะไร” ตอนนั้นเราไม่รู้จักนาฏศิลป์ไทยเลยรู้สึกอายมาก พอกลับมาก็เริ่มเรียนทุกอย่างที่พอจะเรียนได้ อะไรก็ได้ที่จะทำให้เข้าใจนาฏศิลป์ไทย แล้วเป็นจังหวะที่ ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน เริ่มทำละครโขน ตอนนั้นได้เจอครูโขนยักษ์ คุณเภตรา ศรีวรานนท์ ครูรำสวยมาก ใส่ชุดยักษ์สีขาวเล่นเป็นสหัสเดชะ ที่เป็นยักษ์ทวารบาลยืนเฝ้าประตูทางเข้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ มีทศกัณฐ์ตนนึง สหัสเดชะตนนึง ครูเล็ก ภัทราวดี ในยุคนั้นปี 2539 ท่านทำสหัสเดชะ ผมเลยได้รู้จักตัวละครตัวนี้ และขอเริ่มเรียนโขนตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา
จริงๆ ตัวผมก็ไม่ใช่ครูที่เก่ง หรือรอบรู้อะไร สอนได้บางอย่างตรงนี้ เป็นอารมณ์เดียวกันกับที่ผมมาทำชมรมโขน ผมเข้าใจความรู้สึกของเด็กๆ ที่อยากเรียนพ่อแม่ถึงกับมาขอว่า เปิดสอนก่อนปิดเทอมเลยได้ไหม เพราะลูกๆ อยากมาเรียนอันนี้ดีใจนะ เพราะคนมักบอกว่าโอ๊ยเด็กสมัยนี้ไม่สนใจพวกนี้หรอก อันนี้ไม่จริงเลย ผมไม่เคยตะล่อมให้เด็กพวกนี้มาเรียนนะ เขาต้องมีภาพของเขามาก่อนในอดีต สังเกตดูว่าเขาจะมานั่งดูก่อน แล้วก็เริ่มรู้สึกสนุก และกลับไปหาข้อมูล ครูเล็ก ภัทราวดี สอนผมมาก่อนว่าควรจะทำละครให้สนุกได้ยังไง เลยมีการปรุงบทเฉพาะกิจสำหรับการแสดงของชมรมวัดมหาธาตุ ทำให้เมื่อคุณฝึกแล้วมันจะไม่ยากจนเกินไป จนเรียนรู้ไม่ได้ เมื่อสนุกแล้ว ถ้ามีแพสชันกับมันเรียนต่อเลยครับ เพราะมันจะสนุกและเรียนได้ไปเรื่อยๆเอง
วันแรกที่เปิดสอนเมื่อ 2 ปีก่อน เทียบกับวันนี้
ก่อนหน้าปีนี้เคยมีนักเรียนไปถึง 30 – 40 กว่าคน แล้วก็หายไป เพราะเป็นช่วงโควิด และระบบยังไม่เที่ยง จนกระทั่งเป็นชมรม แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะผู้ปกครองกับทีมครูผู้สอนยังไม่ได้มีความร่วมมืออะไรกันเท่าไหร่ เรามีผู้ปกครองหลายคน ทั้งฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี มาร่วมอาสาช่วยกัน ดังนั้น ผมจึงอยากบอกพ่อแม่ทุกคนว่า ให้ลูกได้มาลองให้มาสัมผัสกับครูผู้สอนกับนักเรียนคนอื่นๆ กับบรรยากาศของสถานที่มันมีความสบายๆ และสนุก อันนี้แหละเป็นจุดสำคัญ ที่ทำให้เขาอยากเล่น อย่าไปคิดว่ามันยาก โขนมันไม่ใช่วิชาเลข มันคือการละเล่น เล่นไปเรื่อยๆ ทำให้เหมือนตรงนี้เป็นสนามเด็กเล่น เพราะชมรมนี้เป็นของทุกคน
ความตั้งใจของพวกเราทั้งหมด คือ การสร้างคนรุ่นใหม่ ที่ไม่มีใครคิดว่าจะมาสนใจศิลปะโบราณนี้ ให้มีใจรักโขน มันคือมรดกที่ไม่ได้อยากเห็น แต่อยากให้ทิ้งไว้ให้เลย
ก่อนที่จะมีการเรียน เห็นว่านักเรียนต้องนั่งสมาธิก่อนเรียนด้วย
จริงๆแล้ว การทำสมาธิเป็นธรรมเนียมปฏิบัติก่อนการแสดงทั่วทั้งโลก การนั่งสมาธิ คือ การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก และเป็นการกำหนดความรู้ตัว ง่วงก็ไม่แปลก เพราะแปลว่าจิตเริ่มสงบ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเราแค่ต้องตามความรู้สึกให้ทันว่าลมหายใจเป็นอย่างไร ร้อนมั้ย เย็นมั้ย ลมหายใจสั้นหรือยาว ประเด็นคือ ในตอนนั้นจิตจะไม่คิดเรื่องอื่น ไม่ว่อกแว่ก พอจิตนิ่ง ก็เริ่มเห็นอะไรชัดเจนว่าต้องทำอะไรบ้าง ลืมตามาปุ๊บสิ่งแรกที่เขาเห็น คือโขนเป็นการละลายพฤติกรรมทางความคิดก่อนเป็นกุศโลบาย สมัยที่ผมเรียน ครูเล็กไม่ได้ให้นั่ง แต่ท่านให้รู้จักลมหายใจ
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 55 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่