Skip to content Skip to footer

ภารกิจ”ยักษ์” กับการสร้างความจริงให้ปรากฏแก่แผ่นดิน

ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร

อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ

ประเทศไทยและโลกผ่านวิกฤติไปแล้ว จากช่วงเวลาแห่งการตั้งรับและปรับแผน เวลานี้จึงเป็น ช่วงเวลาแห่งการออกเดินไปข้างหน้า ท่ามกลางความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้น ยังมีคน กลุ่มหนึ่งที่ใช้ชีวิตตามปกติ แทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆ พวกเขาไม่ใช่เศรษฐีเงินล้านที่สามารถบินไป เก็บตัวในที่ที่ห่างไกลผู้คน และก็ไม่ได้มีเงินมากพอจะซื้อวิตามินหรืออาหารเสริมบำรุงต้านเชื้อโรคใดๆ สิ่งเดียวที่พวกเขามีคือ สวนสมุนไพรพื้นบ้านที่พวกเขาใช้ทำอาหารและกินเป็นยา

ในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้น ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเฉพาะการแพทย์แผนไทย ได้ผงาดขึ้นมาเป็น ดาวเด่นอย่างสง่าผ่าเผย จากที่มักถูกมองว่าเป็นศาสตร์ที่เก่าโบราณ ได้ผลช้า ไม่แน่นอน ไม่ชัดเจน แถมไม่ทันใจเท่ายาสมัยใหม่ แต่เวลาได้พิสูจน์แล้วว่า คนไทยนั้นมีของดีที่ทรงคุณค่ายิ่งอยู่ในมือ มาหลายร้อยปีแล้ว และสูตรยาโบราณเหล่านี้ได้กลายเป็นตัวต่อชีวิตคนในชาตินับล้าน

Exclusive Talk ฉบับนี้จึงมานั่งคุยชิลๆ ท่ามกลางร่มเงาแมกไม้ธรรมชาติ ณ ศูนย์กสิกรรม ธรรมชาติเคเอสแอล ริเวอร์แคว กับ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำาธร ผู้ที่เหล่าลูกศิษย์หลายหมื่นคนเรียกว่า “อาจารย์ยักษ์” นายกสมาคมดินโลก และเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทสำาคัญในการขับเคลื่อน “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” รับใช้เบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ก่อนที่จะลาออกจากราชการ ทิ้งตำาแหน่งเลขาธิการ สูงสุด สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มาเป็น เกษตรกรอินทรีย์เต็มตัว โดยอาศัยแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นคนหนึ่งที่วิกฤติต่างๆ ทำาอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย ต้องขอบคุณความ พยายามต่อยอดองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยให้แก่ เกษตรกรกว่า 30 ปีที่ผ่านมา

ช่วงนี้ตารางงานเป็นอย่างไรบ้างคะ

ทำงานตลอดทุกวันเลยครับ ไม่มีวันหยุด มีทั้งสอน หนังสือ ไปประชุมบ้าง เป็นแอดไวเซอร์ เป็นที่ปรึกษา ดุษฎีนิพนธ์ของมหาวิทยาลัย และเป็นกรรมการอยู่หลายที่ครับ แต่ก็ลดไปมากแล้วเทียบกับเมื่อก่อน เครือข่ายของเรามีลูกศิษย์ เยอะ ช่วงที่มีโควิดเราจัดตั้ง 5 ทีมขึ้นสู้กับสถานการณ์ ซึ่งสิ่งที่เรา ทำานั้น นอกจากจะมีทีมสื่อสารคอยตามข้อมูลว่า โรงพยาบาล ไหนเต็มแล้ว สู้ไม่ไหวแล้ว ชาวบ้านควรจะต้องพึ่งตนเองด้วย วิธีอะไร หาข้อมูลเพื่อเตือนภัย

ส่วนกลุ่มที่ 2 จะเตรียมอาหารกับยาสมุนไพร เวลาเขาสั่ง ล็อกดาวน์ปุ๊บ ตลาดปิด เราไม่มีอาหารจะกิน เครือข่ายเรา ก็ระดมอาหารไปแจกเขาทั้งหมด ตำบลไหนหมู่บ้านไหนที่ ขาดแคลนเราก็จะจัดไป หรืออย่างในกรุงเทพฯ ที่คนตกงาน ไม่มีอาหารกิน ไม่มีที่อยู่อาศัย ถูกไล่ออก เราก็จะระดม เครือข่ายหาอาหารกับยาสมุนไพรไปช่วยเขา

ถ้าการเข้าถึงยาของคนไทยดีกว่านี้ สถานการณ์อาจไม่ใช่ แบบนี้

เพราะว่าประเทศไทยเราผลิตยาเองไม่ได้ เราพัฒนาแต่ การซื้อยา แต่ไม่พัฒนาการผลิตยาของเราเอง พอเกิดการ เจ็บป่วยก็แบมือขอความช่วยเหลือจากบริษัทยาต่างประเทศ ทั้งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงพยายามจะสร้างตัวอย่างให้ดูว่าควรจะ มียา มีวัคซีนของเราเอง เราก็เลยพึ่งตนเองไม่ได้

แต่ว่าเรามีภูมิปัญญาที่จะพึ่งตนเองได้ มีตำารับยาเต็มไป หมดเลย เพียงแต่เราทิ้งมันไปนาน แล้วมีการออกกฎหมาย มาบังคับให้ชาวบ้านเผาตำาราทิ้ง เรื่องนี้มันเกิดมาตั้งแต่สมัย โบราณ ตั้งแต่สนธิสัญญาเบาว์ริงแล้ว ที่ฝรั่งเข้ามาเขียน กฎหมายกดดันให้เราเลิกพึ่งตนเอง ก็เพื่อให้พึ่งเขา เขาจะได้รวย ส่วนเราก็จำนนต่อเครื่องมือต่างๆ ของเขา แต่เราก็ได้ เห็นแล้วว่า ถ้าเราพึ่งตนเองได้ทั้งในการจัดการภายในชุมชน และต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ทุกอย่างจะผ่านไปอย่างราบรื่น

ในช่วงนั้น ชุมชน วัด โรงเรียนจับมือกัน เอาโรงเรียน เปิดเป็นศูนย์บัญชาการรบ เช่น ในหมู่บ้านนี้ติดโควิด 3 คน ตอนแรกก็ทะเลาะกันทั้งหมู่บ้าน เสียสติกันไปหมด เราเลย ต้องมาฝึกตั้งสติให้ใหม่ เพราะเราเคยฝึกคนมาเยอะ เรียกว่า Crisis Management and Survival Camp (CMS) เราจะ ฝึกอบรมไว้เวลาเกิดสถานการณ์วิกฤติว่าจะเตือนภัยกันอย่างไร แล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์เราจะสู้กับมันอย่างไร เช่น เมื่อติดเชื้อ โควิดแล้วจะคัดกรองอย่างไร จะแบ่งผู้ป่วยไปอยู่ที่ไหน จะเปิด Home isolation ต้องทำาอย่างไร จะแจ้งไปยังอำาเภอหรือ โรงพยาบาล ถ้าโรงพยาบาลไม่มีกำาลังแล้วเราจะพึ่งตัวเอง ได้อย่างไร ทั้งหมดนี้มันถูกวางแผนไว้ เพราะเราฝึกไว้ก่อน ล่วงหน้า เรารู้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่จะเกิด แล้วเราฝึกแบบนี้มา 13-14 ปีมาแล้ว

ตอนนั้นเราหาสมุนไพรมาทำยาให้ทันกับจำนวนผู้ป่วยได้อย่างไร

ทั้งหมดเป็นสมุนไพรพื้นบ้านน่ะครับ ไม่ได้ไปซื้อเลย ถึง จะซื้อก็ไม่มีขายเพราะขาดตลาด ตอนนั้นคนตื่นตระหนก แห่ กันกว้านซื้อทุกอย่าง ทั้งแบบสด ตากแห้ง แคปซูล วุ่นวาย มาก สิ่งที่เราทำาคือ เราสั่งเก็บตามเครือข่าย พวกข่า ตะไคร้ ขิง พริกไทย กระเทียม หอม แต่เงื่อนไขคือต้องปลูกโดยไม่ใช้ สารเคมี เพราะแทนที่จะเป็นยาก็กลายเป็นพิษ เครือข่ายเรา ไม่ให้ใช้สารพิษอยู่แล้ว ชาวบ้านบางคนบอก ผมมีแค่ 2 กิโล เองครับ อ้าว 2 กิโลเราก็เอา พอมารวมกันได้สัก 1 ตัน ก็หา รถพิกอัปมาส่ง

วิกฤติที่ใหญ่ที่สุดเนี่ย คือที่ไหนรู้มั้ย กรุงเทพฯ กับเมือง ใหญ่ๆ ที่เจริญนี่จะลำาบากมากที่สุด เพราะเขาพึ่งตนเองไม่ได้ อยู่แล้ว อาหารการกินก็ไม่มี เราก็ทำาตะกร้าปันสุขให้ไป คือ เอาตะกร้าใหญ่ๆ มาแล้วเอาดินใส่ แล้วเอาผักสารพัดที่เป็นอาหารและยาได้ด้วยใส่ลงไป ที่เป็นยาก็พวกเผ็ดร้อน ขิง ข่า ตะไคร้ พวกรสขมก็มีฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด ลูกใต้ใบ ซึ่งผักพวกนี้มันเกิดเองอยู่แล้ว ก็เลยไม่ยากอะไร

แปลว่าช่วงนั้นอาจารย์ไม่ได้กลัวหรือกังวลอะไรเลย เพราะรู้ว่า มีสมุนไพรที่เป็นยามาช่วยอยู่แล้ว

ใช่ เพราะเรารู้ เพราะเราผลิตตำารับยาพวกนี้มาก่อน ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่แล้ว พวกไวรัสตับอักเสบบี อะไรพวกนี้มัน เรื่องเล็กมากสำาหรับหมอพื้นบ้าน แล้วยาสมัยก่อนหาง่ายแล้วก็ ไม่มีปุ๋ยเคมี แต่เดี๋ยวนี้พอคนไปหว่านปุ๋ยเคมี ฤทธิ์ยาก็เลยหาย หมด ใช้ไม่ได้ผล แล้วเขาก็ไม่มีความรู้กัน เราก็ต้องฟื้นฟูเรื่องนี้ ค่อยๆ อบรม ค่อยๆ สร้างคนมาพอสมควร

พูดถึงเรื่องยาสมุนไพร หนึ่งในประเด็นถกเถียงที่มีมานาน คือ คุณภาพของยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะวิธีการผลิต แบบดั้งเดิม

ตำราน่ะมี สูตรการรักษาน่ะมี แต่มันแค่ไม่มี Capacity การผลิตแบบนั้นต้องมี Capacity สำาหรับคนที่วิพากษ์เรื่องนี้ เขามอง Capacity ในเชิงมาตรฐานของ WHO ซึ่งถือเป็น มาตรฐานของบริษัทยา ไม่ใช่มาตรฐานของแพทย์ ซึ่งเรา เจ็บปวดกับเรื่องนี้มาก อย่างผมเนี่ยติดคุกมาเพราะโดนบริษัท ยาฟ้อง เราพยายามจะสอนให้ชาวบ้านพึ่งตนเองด้านการ แพทย์ ผลิตยานู่นยานี่ มีตำารับยาของคุณพ่อผมกับตำารับที่ ไปหามาจากลูกศิษย์ จากเครือข่ายชาวบ้าน สอนไปเป็น 100 ตำารับเลย สอนเรื่องการปลูกแบบอินทรีย์เพื่อให้ยาปลอดภัย ปลอดสารเคมีด้วย ทำาจนบริษัทยาเขาขายไม่ออก เขาก็ไป จับมือกับรัฐมนตรี รัฐมนตรีก็ไปกับ อย. มาแจ้งจับผม แต่ใน ที่สุดเราชนะ เพราะขาดเจตนาที่จะละเมิดกฎหมาย แต่เป็น เจตนาที่อยากจะช่วยชาวบ้าน สำาหรับวงการเคมีเกษตร วงการ บริษัทยาเนี่ย ด้วยความที่ผมเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก เลยติด อันดับ 1 ทุกเดือนในฐานะอุปสรรคทางการตลาด คือไอ้หมอนี่ ไปที่ไหน ตลาดเขาพังหมด ขายไม่ออกเลย (หัวเราะ)

ถ้าเช่นนั้นความสุขสำาหรับอาจารย์คืออะไรคะ

ผมว่าที่พระเจ้าอยู่หัวทรงใช้คำาว่า “งานเสร็จเป็นรูปธรรม นามธรรมอิ่มเอิบสบายใจ” อันนี้คือน่าทึ่งมากนะ ท่านเขียนไว้ ในหนังสือการ์ตูนโคกหนองนาเล่มที่อยู่ในเรือนจำาครับ ลองไป หามาอ่านได้ ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นความอิ่มเอิบ เป็นเครื่องอาศัย เป็นเครื่องปลอบโยนว่าบนเส้นทางแห่งการรบเนี่ย เราบาดเจ็บ เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราก็มีความอิ่มเอิบเป็นยาชโลมใจ