Skip to content Skip to footer

เจฟฟรีย์ ฮินตัน

เมื่อเจ้าพ่อแห่งปัญญาประดิษฐ์หวาดผวากับผลงานตัวเอง

ในระยะนี้​ หัวข้อที่ยอดฮิตของคนทั่วโลกคงหนีไม่พ้นเรื่องของภัยคุกคามจากปัญญาประดิษฐ์​ หรือ​ AI ​เพราะหลังจากการเปิดตัวโปรแกรม ChatGPT ​เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว​ก็เกิดเหตุการณ์มีคนนำเอา​ AI ​ไปใช้ในทางที่ผิดมากขึ้นเรื่อยๆ​และยิ่งกว่านั้น ​การที่ เจฟฟรีย์ ​ฮินตัน​ (Geoffrey​ Hinton) ​เจ้าพ่อแห่ง​ AI ​ลาออกจาก ​Google​ ก็ทำให้เกิดคำถามว่า​การพัฒนาด้าน​ AI​ ของมนุษย์กำลังดำเนินไปถูกทางหรือไม่

ทำให้บรรดาผู้นำด้านเทคโนโลยี​นักวิทยาศาสตร์ ​และนักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลก เกือบ ​28,000 ​คน​ รวมถึงเจฟฟรีย์ ​ฮินตัน ​อีลอน​ มัสก์ ​และ สตีฟ​วอซเนียก​ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท​ Apple ​ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องให้ ​“หยุดพัก”​ การพัฒนาและทดลองระบบสมองกลที่จะมีความสามารถเหนือกว่า​ GPT-4​ ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์รุ่นใหม่และเก่งกาจยิ่งกว่า​ ChatGPT

การลาออกของเจฟฟรีย์นั้นเป็นการส่งสัญญาณแก่โลกว่า​เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อันล้ำหน้า อาจนำมาซึ่งมหันตภัย​พร้อมเตือนว่า​มีแนวโน้มมากว่า ​AI ​จะกลายเป็นความเร่งด่วนยิ่งกว่าปัญหาโลกร้อน​ และเป็นเพราะเขารู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

เจฟฟรีย์ ​ฮินตัน ​คือใคร?​ แล้วทำไมเราจึงต้องสนใจกับคำเตือนของเขาด้วย?​

เจฟฟรีย์​ ฮินตัน ​เป็นนักประสาทวิทยาการรับรู้และนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษ-แคนาดา​ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านจิตวิทยา การทดลองจากคิงส์คอลเลจแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ​และระดับปริญญาเอก ด้านปัญญาประดิษฐ์จากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ ในปี​ ค.ศ.​1978​​ หลังจากที่ทำงานในมหาวิทยาลัยต่างๆ​มานานหลายสิบปี​ ฮินตันได้เข้าร่วมงานกับ​ Google ​ในเดือนมีนาคม ​ค.ศ.​2013​ เมื่อ​ Google​ ซื้อกิจการบริษัท​ DNNResearch ​ของเขา ​เขาจึงเป็นทั้งศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยและเป็นนักวิจัยของบริษัทด้วย

ผลงานอันโดดเด่นของฮินตัน ​คือ​การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์​ให้มีความสามารถระดับใกล้เคียงกับมนุษย์ ​เขามีประสบการณ์ยาวนานในงานวิจัยและพัฒนาโครงข่ายประสาทเทียม ​(Artificial ​Neural​ Networks)​ ซึ่งเป็นการสร้างคอมพิวเตอร์ที่จำลองวิธีการทำงานของสมองมนุษย์​ ผลงานด้านนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล​ Turing​ Award ​ในปี ​ค.ศ.​ 2018 ​ซึ่งเป็นรางวัลด้านคอมพิวเตอร์เทียบได้กับรางวัลโนเบล

เขาเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร​ MIT​ Technology ​Review ​ว่า​ความคิดที่ไม่เหมือนใครนี้มาจากพ่อของเขาซึ่งเป็นนักชีววิทยา​ เขาเชื่อว่าเราสามารถตัดต่อโครงข่ายประสาทเทียมในระบบคอมพิวเตอร์ ​โดยการสับเปลี่ยนรหัสที่ได้ตั้งไว้ เพื่อพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ของสมองกล​ โดยยกตัวอย่างอีกา​ ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีความสามารถในการแก้คำปริศนาโดยใช้เครือข่ายระบบประสาทในสมอง

การลาออกของฮินตัน​ ส่วนหนึ่งมาจากอายุที่มากขึ้น ​ปีนี้เขาอายุ ​75 ​ปีแล้ว ​และเพราะเขาต้องการอิสระในการพูดถึงอันตรายของ ​AI​ โดยไม่ต้องกังวลถึงผลกระทบต่อบริษัท ​“ผมไม่ได้จะลดความสำคัญของวิกฤตโลกร้อน​ และก็ไม่ได้อยากจะบอกให้ใครๆ​เลิกกังวลเรื่องโลกร้อน ​เพราะนั่นก็เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ​ แต่สำหรับตอนนี้ ​ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเร่งด่วนกว่าเสียแล้ว” ​ฮินตันกล่าว​เหตุผล เพราะมนุษย์พอจะรู้ว่า​ทำอย่างไรเพื่อลดปัญหาโลกร้อน​ แต่ดูเหมือนไม่มีใครรู้ว่าจะควบคุมเจ้าสมองกลที่แสนฉลาดปราดเปรื่องนี้ได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้ เขามองว่าปัญหาเรื่อง ​AI ​มาจากการใช้งานมากกว่าตัวระบบ​ แต่ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ​เจ้าสมองกลนี้เริ่มจะฉลาดกว่ามนุษย์แล้ว​ และเชื่อว่าอีกไม่นาน ​AI​​ จะฉลาดล้ำหน้ามนุษย์ในทุกๆ​ด้านอย่างแน่นอน เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ฮินตันลาออก​ Google​ ก็ได้เปิดตัว ​PaLM ​2​ ซึ่งเป็นโมเดล​ AI​ ด้านภาษาอันสุดล้ำที่นอกเหนือจากการค้นหาข้อมูล​การถ่าย และแต่งภาพ​ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์​ไปจนถึงการเขียนจดหมายสมัครงาน​​เพียงแค่พิมพ์คำที่เป็น ​keyword ​หรือข้อความสั้นๆ​ PaLM​ 2​ ก็จะให้คำตอบที่เกือบสมบูรณ์แบบภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที

และที่สุดของความล้ำหน้านี้​ก็มีราคาที่เราต้องจ่าย เมื่อหลายปีก่อน ​ขณะที่ ​GPS ​และ​ Google ​Maps ​เปิดตัว​ก็เป็นที่ฮือฮากันว่า ทั้งสองนวัตกรรมนี้ช่างแสนวิเศษ ​แต่งานวิจัยหลายฉบับแสดงให้เห็นว่า ​การพึ่งพาระบบ​ GPS​ และ​ Google ​Maps ​มากเกินไปมีผลเสียหายต่อ​ “ฮิปโปแคมปัส” ​(Hippocampus)​ซึ่งเป็นสมองส่วนการเรียนรู้และความจำ ​และเป็นส่วนที่จะเสียหายก่อนเมื่อคนคนนั้นป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ ​​นักประสาทวิทยายังพบว่าการใช้โปรแกรม ​Siri​ หรือ ​Google​ เป็นประจำ ทำให้การทำงานของสมองที่เกี่ยวกับข้อมูลแย่ลง ​ส่งผลให้ขั้นตอนการใช้ความคิดถดถอย​เพราะเราจะลืมข้อมูลต่างๆ​ หรือจำไม่ได้ว่าจะหาข้อมูลนั้นได้จากที่ไหน

ยังมีอีกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน​​ นั่นคือ​นับตั้งแต่ที่มีการใช้เทคโนโลยีนี้อย่างกว้างขวาง​​การใช้พลังงานไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลไปด้วย ​จากสถิติในปี ​ค.ศ.​2021​ ในการฝึกฝนระบบ​ GPT-3 ​ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าถึง​ 1.287​ กิกะวัตต์ชั่วโมง ​หรือเท่ากับไฟฟ้าที่ใช้สำหรับบ้าน ​120​ หลัง ในสหรัฐฯ​เป็นเวลา 1​ ปี​ หรือเท่ากับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ​502​ ตัน​ และจากค่าไฟฟ้าของ​ Google ​แสดงให้เห็นว่า ​10​-15% ​ของค่าไฟฟ้าทั้งหมดมาจากการใช้งาน​ AI ซึ่งคือ ​2.3 ​​เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี​ เท่ากับปริมาณไฟฟ้าที่บ้านทุกหลังในพื้นที่ขนาดเท่ากับเมืองแอตแลนตาใช้รวมกันทั้งหมด ​เพียงแค่การฝึกสอน ​AI ​ครั้งเดียวก็ใช้ไฟฟ้ามากกว่าบ้านนับร้อยหลังในสหรัฐฯ​ใช้รวมกันใน​ 1 ​ปีแล้ว

แม้ว่าเจ้า​ AI ​จะสะท้อนให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ ​แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับมวลมนุษยชาติ ​คำถามของมนุษย์นับจากนี้ คือ​จะนำเทคโนโลยีมา​สร้างความสะดวกสบายให้แก่ชีวิตอย่างไร​ โดยที่สุขภาพกายและใจจะยังคงความเป็นปกติและสมดุลอยู่ได้