กับการหวนคืนของตัวแม่ทรงพลัง
การปรากฏตัวของนักร้องระดับตำนาน เซลีน ดิออน บนหอไอเฟลในช่วงท้ายของพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วย เสียงเพลงทรงพลังก้องกังวานในสไตล์ของเธอ ได้สร้างความประทับใจอย่างมากมายแก่บรรดาแฟนเพลงทั่วโลกที่คิดถึง และรอคอยที่จะได้ฟังเสียงของเธออีกครั้งหลังจากห่างหายจากเวทีตั้งแต่ปี 2020 กล่าวได้ว่า เธอกลับมาอย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีจริงๆ
ในโลกนี้ กว่าที่ศิลปินคนหนึ่งจะได้รับการยกย่องอย่างสูง โดยมากก็มักจะเกิดขึ้นหลังจากศิลปินคนนั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว น้อยคนนักที่จะมีชื่อเสียงระดับตำนานในขณะยังมีชีวิตอยู่ และเธอคนนี้ เซลีน ดิออน คือหนึ่งในจำนวนน้อยนิดนั้น
นับจากวันที่สุดยอดภาพยนตร์อมตะอย่างไททานิค ออกฉายในปี 1997 ทำรายได้กว่า 2.2 พันล้านเหรียญ เซลีน ดิออน ศิลปินเพลงชื่อก้องโลกชาวแคนาดาก็กลายเป็นหนึ่งในตำนานคู่ไปกับภาพยนตร์ พร้อมๆ กับคู่แสดงนำ คือ เคต วินสเล็ต และลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ เพราะเสียงเพลง “My Heart Will Go On” ของเธอนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังทะลุถึงหัวใจ กระตุ้นอารมณ์ของผู้ฟังให้คล้อยตามจนแทบจะใจสลายไปกับโศกนาฏกรรมของคู่รักในภาพยนตร์ และจนถึงวันนี้ บทเพลงโรแมนติกสุดเศร้านี้ก็ยังคงเป็นที่จดจำไม่รู้ลืม
เมื่อปีที่แล้ว ภาพยนตร์ไททานิคได้เฉลิมฉลองวาระครบ รอบ 25 ปี โดยนำเวอร์ชั่นปรับปรุงใหม่มาให้ได้ชมกัน พาให้เสียงเพลงแสนไพเราะนี้กลับมาดังกระหึ่มไปทั่วทุกหนแห่ง ให้ผู้คนย้อนนึกถึงความทรงจำครั้งที่เป็นไททานิคฟีเวอร์กันไปทั้งโลก
ในขณะที่ภาพยนตร์กลับมาฉายนั้นเป็นช่วงวันวาเลนไทน์ คู่รักนับล้านจึงได้ระลึกถึงความรักอันดื่มด่ำของแจ็คกับโรส แต่เจ้าของเสียงเพลงอมตะนั้นกลับกำลังต่อสู้กับอาการป่วยด้วย “โรคคนแข็ง” ซึ่งเป็นโรคทางระบบประสาท ที่พบได้น้อยมากและสร้างความทุกข์ทรมานอย่างที่สุด เธอต้องทนทุกข์อยู่กับอาการเจ็บป่วยมาเกือบ 20 ปี โดยเพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ในช่วงปลายปี 2022 หลังจากที่ได้รับการยืนยัน เธอต้องเลื่อนการแสดงในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2023 ไปถึงปี 2024 รวมถึงยกเลิกการแสดงอีก 8 รายการ ของปี 2023 ด้วย
แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายจากโรค แต่ด้วยความพยายามต่อสู้อย่างยิ่งยวดก็ทำให้เธอมีอาการดีขึ้น ซึ่งนับเป็น “ชัยชนะ” อันยิ่งใหญ่ทีเดียว นอกเหนือจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทเพื่อเป้าหมายแล้ว ความผูกพันกับแฟนเพลงนับเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เธอกลับมาสู่เวทีได้อีกครั้ง
ในภาพยนตร์สารคดี “I Am: Celine Dion” ที่นำเสนอ เรื่องการต่อสู้กับโรคร้ายนี้ เธอได้กล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อบรรดาแฟนเพลงว่า “….สมมติว่า มีต้นแอปเปิลอยู่ต้นนึง ฉันนี่แหละคือต้นแอปเปิลนั้น มีคนเข้าแถวกันยาวเหยียด และฉันก็มอบแอปเปิลให้เค้า นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด” เธอกล่าวอีกว่า “ทุกคนกลับไปพร้อมกับตะกร้าใส่แอปเปิล และแล้ว กิ่งก้านของฉันก็เริ่มร่วงหล่น หงิกงอ และให้ผลแอปเปิลน้อยลง แต่ไม่ว่ายังไง คนที่รอต่อแถวก็ยังมีอีกมาก และฉันไม่อยากให้เค้าต้องรอถ้าฉันไม่มีแอปเปิลให้เค้าอีกแล้ว”
แต่เธอยังอยากจะให้แอปเปิลต่อไปเรื่อยๆ เพราะมีคนอีกมากมายที่รออยู่ เพราะความผูกพันต่อแฟนเพลงของเธอ นั้นเองที่แข็งแกร่งและเป็นกำลังใจให้เธอเดินหน้าต่อไปแม้รู้ว่าโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ความเจ็บป่วยไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้การแสดงของเธอด้อยไปกว่าเดิม
ทุกฉากในสารคดีเรื่องนี้ถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมา ฉายให้เห็นถึงความยากลำบากในการต่อสู้กับความเจ็บปวด หรืออาการชักเกร็งที่ทำให้เธอกลายเป็นอัมพาตไปชั่วคราว พร้อมๆ ไปกับความพยายามในการทำกายภาพบำบัดเพื่อควบคุมร่างกายและเสียงให้ได้ นอกเหนือไปจากรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์
ในอีกฉากเผยให้เห็นเธอล้มลงทันทีที่เดินเข้ามาหลังเวที เป็นภาพความรุนแรงของโรคร้ายซึ่งไม่ได้รับการวินิจฉัย ในตอนนั้นเพียงแต่รักษาไปตามอาการเป็นเวลาหลายปี ในระหว่างนั้น การที่เธอสามารถกระโดดก้าวสูงๆ วิ่ง รวมถึงร้องเพลงด้วยเสียงสูงทรงพลัง ทั้งหมดเป็นผลมาจากการใช้ ยาจำ นวนมากเพื่อช่วยให้เธอควบคุมร่างกายได้ มีครั้งหนึ่งที่กล้ามเนื้อหน้าอกมีอาการเกร็งอย่างรุนแรงถึงกับทำให้ซี่โครงของเธอหักเลยทีเดียว
หลังจากที่ภาพยนตร์สารคดีนี้ออกฉาย มีคนจำนวนมากพากันเตือนไม่ให้เธอคาดหวังมากจนเกินไป เพราะโรคนี้ยังไม่มีหนทางรักษา แต่เซลีน ดิออนยังคงอยู่กับเป้าหมายที่ยึดมั่นมาตั้งแต่ยังเด็กว่า เธอจะเป็นนักร้องไปจนตลอดชีวิต
จะว่าไปแล้ว คำเตือนเหล่านั้นนับว่ามีเหตุผลอยู่ เพราะหากหวังสูงเกินไปก็อาจหัวใจสลายได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเราไม่ได้ทำสิ่งที่มุ่งหวังตั้งใจแล้ว ชีวิตก็ไม่มีความหมายเหมือนกัน สำหรับเซลีน ดิออน เธอเลือกที่จะทุ่มเทเต็มที่ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
จอห์น รัสคิน ศิลปินชาวอังกฤษ ผู้เป็นทั้งนักวิจารณ์สังคมและสถาปนิกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 19 เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อความรักและทักษะหลอมรวมกัน ก็จะก่อเกิดเป็นผลงานชิ้นเอก”
ในกรณีของเซลีน ดิออน ผลงานชิ้นเอกที่ว่านี้ไม่ได้หมายความถึงเสียงเพลงของเธอเท่านั้น อันที่จริงตัวเธอนั่นเองคือผลงานศิลปะอันเยี่ยมยอด
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 59 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่
สำหรับลูกค้าในประเทศ