
ความ ‘ธรรมดา’ ท่ามกลางแสงสี
เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แอชตัน คุชเชอร์ นักแสดงฮอลลีวูดแถวหน้าวัย 44 ปี ได้ออกมาให้ สัมภาษณ์ว่า เขานั้นรู้สึกขอบคุณที่ตนเองยังคงชีวิตอยู่ และ ซาบซึ้งใจกับโอกาสและสิ่งดีๆในชีวิตอย่างมาก หลังจากที่เมื่อ สองปีก่อนเขากลายเป็นคนตาบอด หูหนวก และเดินไม่ได้ เป็นเวลากว่า 1 ปี เพราะป่วยเป็นโรคหลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis) ไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ต้องอยู่บ้านเฉยๆ
คุชเชอร์เปิดเผยเรื่องราวนี้ขณะกำาลังถ่ายทำารายการท่องป่า เสี่ยงตายของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ซึ่งแขกรับเชิญจะต้อง เรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดในป่าดงดิบ คนที่เคยอยู่ป่าหลายวัน รู้ดีว่าประสาทสัมผัสทั้ง 5 ต้องตื่นตัวมากขนาดไหน แม้ในยาม ที่ชื่นชมความงดงามของธรรมชาติรอบตัวก็ตาม ซึ่งทริปนี้ทำาให้ คุชเชอร์นึกย้อนถึงช่วงเวลาอันน่ากลัวและหดหู่นั้น รวมทั้งเห็น คุณค่าอย่างมากของการเกิดมาครบ 32 และมีต้นทุนชีวิตที่สูง
“คุณมักไม่เห็นคุณค่าของมันเลยจนกระทั่งเสียมันไป จน กระทั่งคุณเกือบตาย ผมไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาเห็นอีกหรือไม่ ไม่รู้ว่าจะได้ยินเสียงอีกหรือไม่ ไม่รู้ว่าจะเดินได้อีกครั้งเปล่า”
โรคหลอดเลือดอักเสบนั้นเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองชนิดหนึ่ง ที่หายาก ลักษณะโรคคือหลอดเลือดเกิดการอักเสบ โดยอาจ เกิดได้ที่หลอดเลือดแดง หลอดเลือดดำา หรือหลอดเลือดฝอย ส่งผลให้มีหลอดเลือดไปเลี้ยงทำางานผิดปกติ การอักเสบ สามารถเกิดได้กับอวัยวะเดียวหรือหลายอวัยวะ บางกรณีจะ เกิดเฉพาะบนผิวหนัง นอกจากอวัยวะเสียหายชั่วคราวอย่าง คุชเชอร์แล้ว ในรายที่เป็นหนักคือระบบร่างกายล้มเหลวและ เสียชีวิต การเป็นโรคนี้จึงไม่ต่างจากถูกหวยรางวัลใหญ่
เรื่องราวของเหล่าคนดังที่ต่อสู้กับความเจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์แมนตลอดกาล คริสโตเฟอร์ รีฟส์ หรือ ชายหนุ่มผู้ข้ามเวลาย้อนอดีต ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ แม้จะเป็น การเจ็บป่วยใหญ่ แต่ผู้ป่วยยังคงสื่อสารกับโลกภายนอกได้ ถ้าใครเคยไปนิทรรศการบทเรียนในโลกมืด (Dialogue in the Dark) จากเยอรมนี ที่นำามาจัดแสดง 10 ปีในไทย ก่อนจะจบ โครงการลงในปี 2562 คงยังจำาความรู้สึกหวาดหวั่น ไม่มั่นใจ ทันทีที่ถูกผ้าปิดตาและพาเข้าสู่ห้องมืดชนิดไม่มีแสงใดๆลอด เข้ามา ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราสูญเสียการได้ยิน แถมยัง หมดแรงเดินไม่ไหวด้วยแล้ว ทุกๆวันคงเหมือนกับฝันร้าย อยู่ในโลกที่ถูกปิดตาย แม้แต่คนที่ภูมิคุ้มกันทางจิตใจแข็งแกร่ง อย่างคุชเชอร์ก็ยังแทบสิ้นหวัง
แม้ว่าจะไม่ใช่ดาราระดับแม่เหล็กซูเปอร์สตาร์ แต่ชื่อของ คุชเชอร์นั้นรับประกันความแปลก ล้ำาสมัย ทั้งมุมมอง ความคิด โลกเริ่มรู้จักเขาในฐานะของสามีวัยละอ่อนของเดมี่ มัวร์ ซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวูด ผู้มีอายุห่างจากเขาถึง 15 ปี ทั้งคู่ แต่งงานกันในปี ค.ศ.2005 และจัดว่าเป็นคู่ที่หวานชื่นจนน้ำาผึ้ง ชิดซ้าย ก่อนทุกอย่างจะจบลงในอีก 7 ปี อันมีเหตุหลักมาจาก การนอกใจของฝ่ายชายครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะต้องการการ แต่งงานแบบเปิด นำาไปสู่ปัญหาติดเหล้าและอารมณ์แปรปรวน ของฝ่ายหญิง
ชีวิตของคุชเชอร์โดยรวมนั้นจัดได้ว่ามีต้นทุนดี ทำาให้เขามัก ใช้ชีวิตบนความเสี่ยงและตามใจตัวเอง แม้ว่าจะมีพี่ชายฝาแฝด ที่ป่วยด้วยโรคพิการทางสมองและโรคหัวใจแต่กำาเนิด ตัวเขาเอง มักใช้ชีวิตแบบไม่แยแส “สภาพครอบครัวผมเต็มไปด้วยความเครียดสูง ทำาให้ผมไม่อยากกลับบ้านเพราะไม่อยากเจอเรื่อง แย่ๆไปกว่าเดิม ผมเลยมักจะพยายามทำาตัวให้ยุ่งเข้าไว้”
ปัญหาคือ เรื่องยุ่งๆที่ว่านั้นคือการคบเพื่อนผิดและเกเร ตอนมัธยมปลาย คุชเชอร์กับเพื่อนบุกรุกเข้าไปในโรงเรียนตอน กลางคืนเพื่อขโมยเงิน เขาโดนจับและตัดสินลงทัณฑ์บน 3 ปี จำาคุก 1 ปี ส่งผลให้ถูกแฟนบอกเลิกและโดนตัดสิทธิ์รับทุนการ ศึกษามหาวิทยาลัยทันที ทั้งที่ผลการเรียนดีมาก เขาเข้าเรียน คณะวิศวกรรมชีวเคมี มหาวิทยาลัยไอโอวา ด้วยตั้งใจอยาก คิดค้นยารักษาโรคของพี่ชาย แต่กลายเป็นว่าใช้เวลาส่วนใหญ่ ปาร์ตี้และดื่มเหล้าชนิดที่ว่าจำาอะไรไม่ได้เลยเมื่อตื่นขึ้นตอนเช้า ก่อนที่จะมีแมวมองมาชวนถ่ายแบบ จนในที่สุดเขาลาออกจาก มหาวิทยาลัยและย้ายไปแคลิฟอร์เนียเพื่อไปเป็นนักแสดง
โชคดีที่คุชเชอร์มีหัวทางธุรกิจ บวกกับความชอบเรื่อง เทคโนโลยี เขากับเพื่อนๆจึงก่อตั้งบริษัทลงทุน A-Grade Investments และลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัปหลายสิบแห่ง อาทิ Skype, Spotify, Airbnb, Uber, Pinterest ตัวเลือก เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์และชอบความ ท้าทาย โดยเขาได้นำาเงินไปต่อยอดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ Sound Ventures ทำาให้ตอนนี้มีทรัพย์สินส่วนตัวประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเขาได้นำาเงินส่วนหนึ่งเปิดมูลนิธิและ บริจาคเพื่อการกุศลหลายสิบล้านเหรียญตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้พบศิลปินนักแสดงที่มีความสามารถ เชิงธุรกิจด้วย ด้วยความที่มักมีมุมมองล้ำายุคกว่าคนรอบข้าง ชอบอะไรที่แปลกใหม่ ไม่ธรรมดา ความสำาเร็จที่เขาได้มา จึงมักมาพร้อมกับความภาคภูมิใจเกินตัวบ่อยครั้ง ดังจะสัมผัส ได้จากบทสัมภาษณ์ ความเจ็บป่วยนี้จึงอาจเป็นคำาเตือนก็ว่าได้ ว่าความธรรมดาไม่เลวร้ายแต่อย่างใด และชีวิตที่น่าพึงพอใจ คือชีวิตที่เรียบง่าย มีความพึงพอใจในความธรรมดา
เมื่อพูดถึง “ความธรรมดา” คนจำานวนมากมักมองหา “เรื่องราว” ในความธรรมดานั้น การมีชีวิตธรรมดา ความชอบ ธรรมดา หน้าที่การงานธรรมดา ฐานะธรรมดา รวมไปถึง รูปร่างหน้าตาธรรมดานั้นกลับเป็นสิ่งที่ถูกมองข้าม ยามใคร ถามไถ่ถึง เราต่างมักรู้สึกกระอักกระอ่วนเพราะมันช่างธรรมดา ราบเรียบเสียจนรู้สึกตัวเองโดนกลืนหาย จนขาดความมั่นใจ… จนกระทั่งเราเสียมันไป
จากคนหนุ่มที่มั่นใจในตนเองและเชื่อว่าไม่มีอะไรมาโค่นได้ คุชเชอร์ตระหนักว่า เขาควรชื่นชมสิ่งรอบข้างอันแสนธรรมดา ให้มากกว่านี้ “นาทีที่คุณเห็นว่าอุปสรรคพวกนั้นมันถูกสร้างมา เพื่อคุณ เพื่อมอบสิ่ง (บทเรียน) ที่จำาเป็นแก่คุณ ชีวิตก็เริ่ม สนุกขึ้นนะ คุณเริ่มอยู่เหนือปัญหาแทนที่จะให้มันควบคุมคุณ” คุชเชอร์กล่าว ก่อนจะสรุปว่า “ผมโชคดีมากที่ยังมีชีวิตอยู่”