Skip to content Skip to footer

แอนเจลีนา โจลี

สาวแกร่งแห่งฮอลลีวูด กับก้าวย่างบนหนทางใหม่

กว่า 30 ปีที่แอนเจลีนา โจลี ได้แสดงความสามารถในหลากหลายบทบาท ทั้งนักแสดง ผู้สร้างภาพยนตร์ คุณแม่ลูกหก และนักสิทธิมนุษยชน ล่าสุดเธอหันมาสู่วงการที่ไม่เคย สนใจมาก่อนเลย นั่นคือ ธุรกิจแฟชั่น

ก่อนครบรอบวันเกิด 48 ปี แอนเจลีนา โจลีได้ประกาศถึง โครงการใหม่ล่าสุด “Atelier Jolie” ธุรกิจแฟชั่นที่มีแนวทางชัดเจน ในวิถีแห่งความยั่งยืน โดยเน้นการนำาวัสดุที่ใช้แล้วมาเป็นวัตถุดิบ ในการสร้างสรรค์งาน ในเว็บไซต์ของแบรนด์ระบุว่า “เราจะใช้ เฉพาะของที่เหลือทิ้ง วัสดุแบบเก่าๆ ที่มีคุณภาพ รวมถึงสต็อก สินค้าที่ขายไม่ได้แล้ว”

สรุปสั้นๆ คือ เสื้อผ้าของ Atelier Jolie จะผลิตขึ้นจากวัสดุที่ ไม่ใช้แล้วเท่านั้น คอนเซปต์นี้เรียกความสนใจจากทั้งคนในวงการ และผู้บริโภคเป็นอย่างมาก พร้อมๆ กับความคาดหวังในสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น

เมื่อมองดูฐานะที่ร่ำารวย ชีวิตที่พรั่งพร้อมด้วยสีสัน และพลัง ขับเคลื่อน ดูเหมือนว่าชีวิตของโจลีไม่เคยมีคำาว่า น่าเบื่อ แต่แท้ ที่จริง เธอต้องเผชิญกับปัญหามากมายในชีวิต นำามาสู่บุคลิกที่ แปลกแยกแตกต่างเข้าขั้นต่อต้านสังคม แต่เธอก็สามารถฟันฝ่าทุก อุปสรรคจนเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอีกมากมายในที่สุด

แอนเจลีนา โจลี เกิดเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 1975 เป็น ลูกสาวของจอน วอยต์ กับ มาร์เชลีน เบอร์ทรานด์ พ่อแม่ของเธอ หย่ากันตั้งแต่เธอยังอายุไม่ครบขวบ เนื่องจากการนอกใจของพ่อ ปัญหาครอบครัวแตกแยกนี้สร้างบาดแผลในใจให้เธอมาตั้งแต่เล็ก จนกลายเป็นสาเหตุของความเครียดรุนแรงจนถึงขั้นทำาร้ายตัวเอง ในช่วงวัยรุ่น

นอกจากชีวิตวัยเด็กที่ยากลำาบากบวกกับความเหงาแล้ว โจลียังถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้งเสมอ จนเธอต้องมองหาที่ ยึดเหนี่ยว เธอเริ่มลองเสพยาทุกชนิดจนติด เป็นโรคนอนไม่หลับ รวมไปถึงโรคบูลิเมีย (โรคล้วงคอของคนกลัวอ้วน) ความเครียด อย่างรุนแรงทำ ปี ทั้งพยายามด้วยตัวเอง เมื่อไม่สำ าให้เธอเคยพยายามฆ่าตัวตายเมื่ออายุ 19 และ 22 าเร็จเธอก็วางแผนจ้างมือปืน ฆ่า ซึ่งในกรณีหลังนี้เกิดขึ้นในเวลา 18 เดือนหลังจากการแต่งงาน กับนักแสดงหนุ่มจอห์นนี ลี มิลเลอร์ ที่ต่อมาก็จบลงด้วยการหย่า ชีวิตแต่งงานของทั้งคู่เป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจตลอดช่วง ทศวรรษ 1990 เลยทีเดียว โดยเฉพาะโจลีนั้นได้เปิดเผยให้โลกรับ รู้ถึงความรักของเธอต่อมิลเลอร์ด้วยการสวมเสื้อยืดที่เขียนชื่อสามี ด้วยเลือดของเธอเอง

อาการสติแตกครั้งใหญ่กลับมาอีกครั้งเมื่อเธออายุ 24 ปี ถึงขนาดที่ต้องเข้ารับการรักษาในแผนกจิตเวชของโรงพยาบาลเป็น เวลา 72 ชั่วโมง เมื่อเธอแต่งงานอีกครั้งกับบิลลี่ บ็อบ ธอร์นตัน ชีวิตแต่งงานครั้งนี้ก็ชวนระทึกไม่น้อยไปกว่าครั้งก่อนเลย ทั้งคู่ แสดงความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อกันด้วยการสวมสร้อยคอที่แขวน หลอดแก้วเล็กๆ บรรจุเลือดของอีกฝ่าย แต่ในที่สุดก็หย่าขาดจาก กันในปี 2003 แต่อย่างไรก็ตาม ในปี 2002 ยังมีสิ่งดีๆ ในชีวิต ก็เกิดขึ้น เมื่อเธอรับเด็กชายชาวกัมพูชาชื่อ แมดด็อกซ์ มาเป็นลูก บุญธรรม ซึ่งโจลีกล่าวว่า การมีลูกทำาให้จิตใจของเธอมั่นคงขึ้น และไม่รู้สึกอยากทำาร้ายตัวเองอีก ปัจจุบันนี้เธอมีลูกทั้งหมด 6 คน

หลังจากที่หย่าได้ไม่นาน โจลีพบกับแบรด พิตต์ ผู้รับบทบาท เป็นสามีของเธอในภาพยนตร์เรื่อง Mr. and Mrs. Smith แล้วใน ที่สุดทั้งสองได้ใช้ชีวิตร่วมกันถึง 12 ปี ในช่วงเวลานั้น โจลีเป็นนัก แสดงที่โด่งดังถึงขีดสุดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ เธอได้รับรางวัลออสการ์ ในปีค.ศ. 1999 จากภาพยนตร์เรื่อง Girl, Interrupted โจลีได้รับ การยอมรับว่า เป็นนักแสดงทำาเงินแถวหน้าหลังจากภาพยนตร์ เรื่อง Lara Croft: Tomb Raider ออกฉายในปีคศ. 2001 ทำาราย ได้ถล่มทลายทั่วโลก

ท่ามกลางความสำาเร็จอันงดงามนี้ โจลีรับรู้ถึงเสียงเรียก ร้องในใจให้ทำาสิ่งที่มีความหมายเพื่อเติมเต็มชีวิต การไปถ่ายทำา ภาพยนตร์ Lara Croft: Tomb Raider ในกัมพูชาได้เปิดโลกให้แก่เธอ การได้เห็นสภาพประเทศที่ทรุดโทรมจากสงคราม อีกทั้ง ภาวะวิกฤติด้านมนุษยธรรม ทำาให้โจลีเกิดความเข้าใจโลกอย่าง ลึกซึ้งมากขึ้น เธอได้อาสาเข้าไปมีส่วนร่วมในงานรณรงค์ด้าน มนุษยธรรมของสำานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในฐานะทูตสันถวไมตรีและทูตพิเศษ มีส่วนร่วมใน ภารกิจภาคสนามกว่า 40 ครั้งและพบผู้อพยพกว่า 30 ประเทศ เธอลาออกจากตำาแหน่งดังกล่าวเมื่อเดือนธันวาคมในปีที่ผ่านมา เหตุผลคือ ต้องการทำาในสิ่งที่มีส่วนร่วมช่วยเหลือผู้อพยพและ องค์กรท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงมากขึ้น

หลังจากนั้นเพียงห้าเดือน เธอก็เปิดตัว Atelier Jolie ใน ขณะที่แบรนด์แฟชั่นของบรรดาคนดังทั้งหลายมักจะโปรโมท เจ้าของแบรนด์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์และตัวตน แต่ Atelier Jolie กลับสร้างความแตกต่าง ทีมงานที่นี่เน้นการ สร้างสรรค์งานร่วมกับลูกค้า เปิดโอกาสให้ผู้สวมใส่ได้คิดค้น สไตล์ของตัวเอง ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ช่วยลดขยะด้วยการนำา เสื้อผ้าเก่าของลูกค้ามาสร้างสรรค์เป็นชิ้นงานใหม่ โดยโจลีกล่าว ว่า “เป้าหมายของแบรนด์ คือการทำาให้ธุรกิจแฟชั่นมีความเป็น ประชาธิปไตย พร้อมๆ ไปกับการเปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์และ ช่างฝีมือมาทำางานร่วมกัน โดยให้ลูกค้ามีส่วนร่วมด้วย”

จากบทสัมภาษณ์ในนิตยสารโว้กฉบับเดือนกันยายน โจลี ยอมรับว่า การที่เห็นตัวเองมาอยู่ในวงการแฟชั่นนั้นดูเป็นเรื่อง ตลก เพราะโดยปกติ เธอเป็นคนที่ไม่ชอบแต่งตัวตามแฟชั่น แต่ ชอบแนวเรียบง่าย มักใช้สีโทนเดียวกันตลอด จริงๆ แล้วเธอไม่ เคยสนใจเรื่องของแฟชั่นด้วยซ้ำา พร้อมเสริมว่า “ในตู้ที่บ้านยังมี หนังสือมากกว่าเสื้อผ้าเสียอีก ฉันไม่ต้องการให้เสื้อผ้ามากลืน กินชีวิตของตัวเอง และไม่ชอบที่จะต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของ อะไร”

ในฐานะนักแสดงหญิงที่มีรายได้สูงสุดคนหนึ่งของฮอลลีวูด โจลีรู้ดีว่ารสนิยมแฟชั่นของเธอสามารถสร้างกระแสความสนใจ ได้มาก ดังนั้น การเข้าสู่ธุรกิจแฟชั่นจึงเป็นการใช้จุดแข็งของตัว เองมาก่อให้เกิดประโยชน์ ที่สำาคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ ธุรกิจใหม่นี้ช่วยเยียวยาจิตใจของเธอจากการหย่าร้างกับแบรด พิตต์ ที่ กลายเป็นข่าวสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ ธุรกิจนี้คือเส้นทางแห่ง การค้นพบตัวเอง และก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงอีกครั้ง

จนถึงเวลานี้ เธอพอใจกับสิ่งที่ได้ค้นพบ “หลังจากที่ผ่าน พ้นเรื่องราวเจ็บปวดมาแล้ว นักบำาบัดของฉันถามว่าฉันอยาก จะลองสวมเสื้อผ้าแบบพริ้วๆ บ้างไหม อาจฟังดูเกินไปหน่อย ถ้าจะพูดว่ากางเกงกับรองเท้าบูททำาให้ฉันดูแข็งแกร่งมากกว่า แต่ฉันก็ถามตัวเองเหมือนกันว่า ฉันเข้มแข็งพอที่จะลองทำาให้ ตัวเองดูอ่อนโยนนุ่มนวลได้ไหม?” จากที่มักแต่งตัวแนวเข้มขรึม มาสู่สไตล์ที่ดูสบายๆ แต่ยังคงรสนิยมและสง่างาม

ช่วงนี้โจลีกำาลังง่วนอยู่กับการเปิดตัวคอลเลคชั่นแรก ที่จะ มาถึงในเร็วๆ นี้ เธอรู้ดีว่าหนทางนี้ยังอีกยาวไกล แต่ก็อย่างที่ เธอเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้วว่า “ฉันเชื่อในคำาพูดที่ว่า ‘อะไรที่ ฆ่าคุณไม่ตาย จะทำาให้คุณแข็งแกร่งยิ่งขึ้น’ ไม่ว่าประสบการณ์ ในชีวิตจะดีหรือร้าย ล้วนแต่หล่อหลอมให้เราเป็นคนๆ นี้ เมื่อ ก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ไปได้ เราจะเข้มแข็งและเติบโตยิ่งขึ้น”

อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 53 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่