ในวัยทำงานช่วงแรก ผมเคยฝันเหมือนใครหลายคนว่าถ้าหาเงินได้มากพอ ชีวิตคงจะสมบูรณ์แบบขึ้น บ้านหลังใหญ่ รถคันใหม่ ทริปเที่ยวหรูๆ นาฬิกาแบรนด์ดัง ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จที่จับต้องได้ ผมทุ่มสุดตัวเพื่อวิ่งไปให้ถึงเป้าหมายนั้น แล้ววันหนึ่งผมก็ไปถึงจริงๆ รายได้เพิ่มขึ้นจากหลักหมื่นเป็นหลักแสน ชีวิตภายนอกดูมั่นคงขึ้น มีทุกอย่างที่เคยคิดว่าอยากได้ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ… ข้างในกลับว่างเปล่ากว่าเดิม ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร”
เงินมากขึ้น… แต่ความหมายกลับน้อยลง
ความรู้สึกตอนนั้นคล้ายกับคนกำลังปีนเขา ปีนสูงขึ้นเรื่อยๆ เหนื่อยมากขึ้นทุกวัน แต่พอไปถึงยอดเขา กลับพบว่านี่ไม่ใช่ภูเขาที่เราอยากปีนตั้งแต่แรก เงินซื้อสิ่งของได้ ซื้อความสะดวกได้ แต่ไม่เคยซื้อความหมายของชีวิตให้ใครได้เลย
ยิ่งเราเชื่อว่าเงินคือคำตอบสุดท้ายเท่าไร เรายิ่งทำงานหนักขึ้น แต่รู้สึกว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น ผมเริ่มเห็นว่า เงินเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่เส้นชัย และคุณค่าของเงินไม่ได้อยู่ที่ตัวเลข แต่มันอยู่ที่ว่าเราเลือกใช้มันไปกับเรื่องอะไร
ช่วงเวลานั้นผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตที่มีความหมายไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ต้องเกิดจากการใช้ชีวิตอย่างมีเจตนา (Living with Intention) เจตนาที่ชัดเจนทำให้เราเลือกได้ว่าจะให้ความสำคัญกับอะไร จะลงทุนเวลา พลังงานและเงินไปกับเรื่องไหน และจะปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับคุณค่าของเราอย่างไร
ผมเคยเห็นบางคนทำงานหาเงินเพื่อซื้อรถหรู แต่พอมีรถจริงๆ เขากลับไม่มีเวลาใช้ เพราะต้องทำงานหนักขึ้นไปอีกเพื่อผ่อนมัน บางคนอยากได้บ้านใหญ่ แต่ต้องกู้เงินจนชีวิตเต็มไปด้วยความกังวล
เมื่อเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต ผมพบว่า ความหมายไม่ได้มาจากสิ่งที่เรามี แต่มาจากสิ่งที่เราเลือกจะทำ
เราเลือกทำงานนี้เพราะมันสอดคล้องกับคุณค่าที่เราเชื่อจริงๆ หรือแค่เพราะเงินดี
เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับสิ่งที่สำคัญกับหัวใจเราจริงๆ หรือเปล่า
ถ้าวันหนึ่งชีวิตเปลี่ยนไปกะทันหัน เราจะเสียดายไหมที่ไม่ได้ใช้เวลากับคนที่รักมากกว่านี้
—
ดูเนื้อหาทั้งหมดโดยการสมัครสมาชิก หรือซื้อที่ Shopee
