Skip to content Skip to footer

ราคาของการกราบ

This image has an empty alt attribute; its file name is image.png

อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล

ทุกครั้งที่มีข่าวเสื่อมเสียของพระสงฆ์ในวงพระศาสนา ข้าพเจ้าก็จะรับรู้ข่าวในมุมของคนนอก คือ วงโคจรชีวิตไม่เคยเห็นหรือเข้าใกล้สมีรูปนั้น ไม่ว่าจะเป็นสมียันตระ สมีคม ไป จนถึงล่าสุดคือ ทิดแย้ม วัดไร่ขิง

จู่ๆ วันที่ 9 กรกฎาคม ก็มีข้อความจากศิษย์ส่งมาว่า “ตอนนี้กำลังมีเรื่องราวในวงการสงฆ์ฟอนเฟะไปหมด วันนี้มีข่าวใหญ่ออกมาทั้งวัน”

“ข่าวใหญ่ ?” ข้าพเจ้าคิด ข่าวอะไรในวงการสงฆ์อีก เรื่องวัดไร่ขิงนี่ยังใหญ่ไม่พออีกหรือ

พอเข้าไปดูลิงก์ข่าว ก็รู้สึกเหมือนแผ่นดินไหว พระผู้ใหญ่ระดับเจ้าคณะภาค สมณศักดิ์ชั้นเทพ มั่วสีกา เจอฤทธินารีพิฆาต สองในนั้นคือพระที่ข้าพเจ้าเคยนิมนต์มาเยี่ยมชมหอมนสิการที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ก่อตั้ง และมาร่วมพิธีสำคัญของหอด้วย ข้าพเจ้าใจหาย บอกกับตัวเองว่า “คราวนี้โดนเต็มๆ เลย”

นอกจากเป็นประธานมูลนิธิโนอิ้ง บุดด้าฯ แล้ว ข้าพเจ้ายังเป็นวิปัสสนาจารย์ฆราวาสของโพธิธรรมญาณสถาน สระบุรี 25 ปีของการปฏิบัติวิปัสสนาเผากิเลสอย่างเข้มข้น ทำให้ตระหนักว่า หากพระภิกษุสงฆ์ไม่ปฏิบัติวิปัสสนาเผากิเลสอย่างจริงจัง เมื่อถูกทดสอบก็ยากที่จะรอดพ้นอำนาจกิเลส เพราะกำลังจิตไม่เข้มแข็งเพียงพอต่อการยับยั้งชั่งใจ

เพราะประจักษ์ดังนี้ ที่ผ่านมาข้าพเจ้าจึงไม่ลงใจในพระที่ไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนาจริงจัง แต่ก็เคารพในความเป็นรัตนะดวงที่ 3 ทุกครั้งที่เห็นสงฆ์ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ก็รู้สึกยำเกรง แต่เมื่อใดที่เห็นพระภิกษุขาดความสำรวม ก็จะรู้สึกอึดอัด ไม่อยากเข้าใกล้

เช้าวันหนึ่งที่หอมนสิการ สระบุรี เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าและเหล่าศิษย์ได้ต้อนรับพระเถระ คณะสงฆ์ที่มานั้นมีอยู่ 3 รูป พระผู้มีอาวุโสสูงสุดคือ พระเทพวชิรธีราภรณ์ หรือเจ้าคุณประดิษฐ์เจ้าอาวาสวัดพระพุทธฉาย ในวันนั้นเราเตรียมการต้อนรับอย่างดี จัดหาเสนาสนะที่นั่งอย่างประณีต เตรียมพวงมาลัยไว้กราบถวายการต้อนรับอย่างสวยงาม ทุกคนรู้สึกปรีดาปราโมทย์ที่พระเถระผู้ใหญ่เมตตามาเยี่ยมชมถึงที่ อีกทั้งท่านยังเป็นพระในเขตสระบุรีอีกด้วย ข้าพเจ้ายังจำความตั้งใจประนมกราบแทบเท้าอย่างนอบน้อม ท่านก็โอภาปราศรัยอย่างเป็นกันเอง กล่าวชื่นชมหอมนสิการไม่ขาดปาก

จากนั้นไม่นาน เราก็ได้มีโอกาสถวายการต้อนรับพระเทพปวรเมธี ที่เดินทางมาเป็นประธานในงานพิธีสำคัญ ซึ่งเป็นครั้งที่สองแล้วที่พระชั้นเทพมาเยี่ยมชมที่หอมนสิการ

ฆราวาสตื่นเต้นกับการเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ของท่านมาก ด้วยเชื่อว่า การได้มาซึ่งสมณศักดิ์นี้ ท่านย่อมมีความดีงามอยู่ในตน และยิ่งท่านเป็นถึงรองอธิการบดีมจร. ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ และมีคุณูปการมากในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น เมื่อได้พบกันจริงๆ ก็เห็นการวางตัวการพูดจาของท่านดูน่าเคารพเลื่อมใส เป็นพระผู้มีภูมิความรู้ อีกทั้งท่านให้เกียรติฝั่งเจ้าภาพมากเช่นกัน เมื่อท่านกลับไปแล้ว ข้าพเจ้าก็บอกทีมงานว่า ให้เอารูปที่ถ่ายร่วมกับท่านไปขยายใหญ่เพื่อแขวนไว้ที่ผนังด้วย

ภาพเจ้าคุณประดิษฐ์เล่นสนุกเกอร์กับนวดเท้าให้สีกา และพระอีกรูปนอนบนเตียงผู้หญิงคนเดียวกัน ช่างตำตาตำใจเหลือเกิน หากมีคำใดที่ใช้แสดงความรู้สึกได้มากกว่าคำว่า “สลดใจ” ก็ อยากใช้คำนั้น

ข้าพเจ้าสงสารพระศาสนา สงสารผู้ที่รู้สึกเหมือนถูกหลอก ถูกโจรหลอกปล้นทรัพย์ ยังไม่เจ็บเท่ากับถูกหลอกให้ศรัทธา แม้ในวันที่ถวายการต้อนรับ ข้าพเจ้าจะวางจิตว่าเป็นการถวายการต้อนรับสงฆ์ แต่อย่างไรเสีย ก็ยากที่จะแยกขาดออกจากจริยวัตรของตัวบุคคล ยิ่งดำรงสมณศักดิ์สูงด้วยแล้ว ก็ยิ่งถูกผูกให้ต้องถวายการต้อนรับให้พิเศษยิ่งขึ้น

ข้าพเจ้านึกถึงวันที่ก้มกราบแทบเท้าพระทั้งสอง เสียงที่อดีตพระผู้ใหญ่สนทนากับข้าพเจ้า ก็เป็นเสียงเดียวกันกับที่ออดอ้อน สีกา ภาพทิดประดิษฐ์เล่นสนุกเกอร์ ทำให้เห็นว่าจริยาของท่านที่ได้เห็นวันนั้น เป็นเพียงละครตบตา เพื่อแสวงศรัทธาจากการห่มผ้าเหลือง

ข้าพเจ้าไม่ได้เสียดายกราบ แต่เป็นห่วงอดีตพระทั้งสอง และพระทั้งหมดที่กระทำความเสื่อมเสียแก่สงฆ์และพระพุทธ ศาสนา ท่านจะรู้กันบ้างไหมว่า เมื่อตายจากภพนี้ไปแล้ว จะต้องถูกเผาผลาญในนรกอเวจีสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน

เพราะเฉพาะแค่ส่วนที่หลอกคนทั่วไปนี่ก็บาปมหันต์แล้ว แล้วหากไปตบตาผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่ว่าจะเป็นสงฆ์หรือ ฆราวาสเอง กรรมนี้ต้องทบต้นทบดอก จนไม่รู้ว่าจะถูกเผาไหม้ในนรกอเวจีกันกี่อสงไขยกัป การไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจของผู้ดำรงเพศบรรพชิต ช่างส่งผลรุนแรงสาหัสสากรรจ์นัก

การที่ฆราวาสเห็นพระสงฆ์แล้วประนมกราบด้วยความนอบน้อม แล้วยังเอาเงินทองที่เก็บหอมรอมริบมาทำบุญด้วย หวังจะให้ท่านเป็นเนื้อนาบุญให้ มิได้เป็นเครื่องเตือนให้นึกถึงฐานานุรูปบ้างหรอกหรือ หรือว่าท่านรับจนชาชินจนไม่เห็นคุณค่าไปจนถึงลืมฐานานุรูปของตน

เมื่อละเมิดศีลไปข้องในกาม แล้วยังขึ้นธรรมาสน์สวดเจริญพุทธมนต์ในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยท่าทีของพระผู้อุดมด้วยศีลาจารวัตร ท่านไม่มีความละอายบ้างหรือ พุทธมนต์นับพันๆ บท ตลอดอายุที่อยู่ในผ้าเหลือง มิได้ชำแรกลงไปชำระกิเลสของท่านบ้างหรือ อีกทั้งอรรถธรรมที่ยกมาเทศนาสอนญาติโยมราวกับเป็นผู้แจ้งในปัญญา ท่านมิได้สดับมาสอนตัวเองบ้างหรือไร

ข้าพเจ้าเป็นห่วงพระภิกษุสงฆ์ที่ยังดำรงสมณเพศ ท่านจะรู้ไหมว่า ราคาของการกราบพระภิกษุผู้ทุศีล 1 ครั้ง มันแพงอย่างแสนสาหัสเพียงใด

การที่ฆราวาสสักคนย่อตัวลงต่ำกว่า ประนมมือกราบเจรจาอย่างนอบน้อม มันหมายถึงเขาลดอัตตาลงต่ำสุด ด้วยเชื่อว่า ท่านคือผู้สละทางโลกแล้วแม้ในชั่วเวลาหนึ่งก็ตาม เขาเชื่อว่าท่านเป็นผู้หมายฝึกตนตามแนวทางที่พระศาสดาทรงสอนไว้ เขาเชื่อว่าท่านย่อมเป็นผู้สมควรแก่การไหว้หรืออัญชลี ผู้ควรแก่การสักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่การสักการะที่จัดไว้ต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่ควรแก่การไหว้ และเป็นเนื้อนาบุญของโลก ซึ่งนี่เป็นคำแปลในบทอิติปิโสท่อนสุดท้าย

หากวันที่พระสงฆ์รู้ตัวว่าพ่ายแพ้ต่อกิเลส แล้วสึกออกไป เสียในวันที่พลาด ก็ยังไม่สาหัสเท่าใด เพราะเมื่อยังมีกิเลสอยู่ ย่อมพลาดได้ แต่กับผู้ที่รู้ซึ้งว่าพ่ายกิเลสแล้ว แต่ยังคงเล่นละครว่าเป็นพระสงฆ์ผู้ควรแก่สมณศักดิ์ ตบตาสาธุชน เลี้ยงศรัทธาต่อไป รอให้จนมุมแล้วจึงค่อยสึก เป็นการแสดงเจตนาที่ชัดแจ้งว่า ท่านคิดและหวังอะไรในผ้ากาสาวพัสตร์อันศักดิ์สิทธิ์นี้

ทางรอดจากกิเลสของพระภิกษุที่ยังดำรงอยู่ คือ การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และที่สำคัญที่สุดคือ ในฐานะฆราวาสผู้บำเพ็ญเพียร ข้าพเจ้าขอนิมนต์พระภิกษุที่ยังคงอยู่หันมาชำระกิเลสในใจ ด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง เริ่มต้นจากการฝึกความมีสติสัมปชัญญะ ฝึกสมาธิอานาปานสติและยกกำลังจิตปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อเผากิเลส หาไม่แล้ว แม้เมื่อแรกบวชจะมีความตั้งใจมั่นเพียงใดว่าจะดำรงตนในพระธรรมวินัย แต่หากกำลังจิตของท่านไม่เพียงพอ เมื่อเจอบททดสอบ ท่านจะพ่ายแพ้ และก่อภัยเวรให้แก่พระศาสนา และแก่จิตวิญญาณของท่านเอง

ปัญญาสมองจากการท่องจำอรรถธรรมไปจนถึงคำบาลี มิได้ช่วยให้ท่านมีชัยชนะต่อกิเลส เป็นเพียงการศึกษาธรรมเพื่อเป็นแนวทางให้ปฏิบัติเท่านั้น

อายุพรรษา การคล่องในบาลี และการเทศน์ได้ไพเราะ ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าท่านใกล้นิพพาน ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นกับดักให้ท่านหลงในลาภและสรรเสริญ และเข้าใกล้นรกในทุกคืบที่พลาดแล้วไม่สำนึกตน

ข้าพเจ้ายังคงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนามิเสื่อมคลาย แม้จะเห็นว่านี่คือความผิดส่วนบุคคล แต่รากของปัญหาเป็นความผิดของระบบค่านิยมที่นำไปสู่การยึดติด ยึดตำรา แต่ไม่เพียรปฏิบัติ ซึ่งส่งผลมาสู่การติดในกามสุข ไปจนถึงหลงในลาภสักการะที่สาธุชนมอบให้ เมื่อกิเลสยังคงนอนเนื่อง ไม่ได้ถูกชำระออก ก็ก่อเกิดอวิชชาปกปิดจิตสำนึก จนทำให้พระพุทธศาสนามาถึงจุดนี้

ฆราวาสเองรู้ดีว่า ปัญหาของพระนั้นมีอยู่สองเรื่อง คือ เรื่องเงินกับเรื่องนารี สำหรับเรื่องนารีนั้น เพียงท่านปิดประตู สามบาน คือ 1. ไม่สบตาหญิง 2. ไม่อยู่กับหญิงในที่ลับสองต่อสอง และ 3. ไม่คุยโทรศัพท์ที่ไม่จำเป็น ท่านจะปลอดภัย

ถ้าไม่ไหวก็นิมนต์สึกมาเสียเถิด

แต่ถ้าไหว ก็นิมนต์อยู่ต่อเพื่อช่วยสืบพระพุทธศาสนา ให้ดำรงมั่นอยู่ในสยาม และเป็นที่พึ่งให้แก่ญาติโยม เมื่อปฏิบัติ แล้วท่านจะรู้แจ้งว่า นรกในโลกหน้ามีจริง แต่กว่าที่ผู้ไม่เชื่อจะตระหนักได้ ก็มักสายไปเสียแล้ว

หนึ่งกราบของฆราวาส มีราคาเท่ากับการติดจมอยู่ในนรก แต่ละขุมของพระผู้ทุศีล ถ้าวันนี้ฝั่งสงฆ์ยังไม่ตื่นมาแก้ไขที่รากของปัญหาคือจิตสำนึก ก็ยากที่จะเรียกศรัทธาคืนมาได้ดังเดิม

มีโยมอุปัฏฐากพระชั้นเทพผู้หนึ่งกล่าวว่า เขารู้สึกยิ่งกว่าคนอกหัก ไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง คำว่า อกหัก คือ รักใครแล้ว เขาไม่รักตอบจึงอกหัก แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อคนในสังคมยามนี้คือ รักแล้วก็รู้สึกได้รักตอบ ต่อมาเมื่อรู้ภายหลังว่าภาพทั้งหมด คือเรื่องโกหกทั้งเพ เขาจึงรู้สึกยิ่งกว่าอกหัก แต่คือการถูกหักหลัง

สังคมยามนี้เป็นเวลาแห่งการ “ขอทำใจ” เห็นผ้าเหลือง ที่ไหนก็อดแว่บไปไม่ได้ว่า กราบไปแล้วจะถูกหักหลังหรือไม่

ไม่ใช่พระศาสนาเท่านั้นที่ต้องการการเยียวยา จิตใจคนในวงพระศาสนาก็ต้องการการเยียวยาเช่นกัน.. ตราบใดที่จิตสำนึกยังคงมีอยู่ในวงพระศาสนา รัตนโกสินทร์ก็คงไม่สิ้นพระดีๆ

“ปลดภาพที่มีอดีตพระทั้งสองลงเสีย”

นี้คือคำสั่งการทิ้งท้ายของข้าพเจ้า



ดูเนื้อหาทั้งหมดโดยการสมัครสมาชิก หรือซื้อที่ Shopee