
‘ครูเล็ก’ ภัทราวดี มีชูธน
ศิลปินแห่งชาติ ผู้ปฏิวัติวงการโทรทัศน์ด้วยจิตวิญญาณความเป็น ‘ครู’
จากเด็กเฮี้ยวที่วิ่งไล่ปูลมในหัวหิน สู่สาวเปรี้ยวที่สุดใต้ฟ้า บางกอก นางแบบระดับซูเปอร์โมเดลในยุค 70 ก่อนจะกลายเป็นผู้ปฏิวัติวงการบันเทิง ผู้เป็น “คนแรก” ในหลายสิ่งของวงการ และศิลปินแห่งชาติผู้ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่นี่คือเพียงเศษเสี้ยวของชีวิตครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน ตำนานที่ยังมีลมหายใจที่ล่าสุดไป ปรากฏตัวในซีรีส์ชื่อดัง The White Lotus 3 ที่มีศิลปินนักแสดงไทยมากฝีมือร่วมแสดงด้วย รวมทั้งลลิษา มโนบาล สมาชิกวงเกิร์ล กรุ๊ปเกาหลี Blackpink ที่โด่งดังทั่วโลก
จุดเริ่มต้นของครูเล็กนั้นหาได้มาจากความทะเยอทะยาน แต่มาจากความรักความชอบ และความรักในการเรียนรู้ โดยเฉพาะ สิ่งใหม่ๆ ที่สำคัญ ครูเล็กให้เกียรติต่อตนเองและทุกสิ่งที่ทำอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ผลงานแต่ละชิ้นของครูเล็กเป็นที่จดจำว่า แปลกใหม่ มีชีวิตชีวา และตรึงคนดูได้ราวกับต้องมนตร์
แต่เบื้องหลังความสำเร็จ ครูเล็กเคยผ่านช่วงวิกฤตซึมเศร้า จากการทำงานหนักเกินขนาด แต่นั่นก็ทำให้ค้นพบว่า “การปล่อยวาง” และ “การไม่สู้กับทุกข์” คือกุญแจสำคัญของชีวิต วันนี้ในวัย 77 ปี ครูเล็กยังคงเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน ยิ้มได้ทุกเช้า พร้อมต้อนรับ ทุกอย่างที่เข้ามาอย่างมีสติ อันเป็นสิ่งที่ครูเล็กบอกกับเราว่า คือ อาวุธชิ้นเยี่ยมที่ทำให้ครูมีความสุขกับทุกวันได้ เพราะตราบใดที่ “สติ” ยังคงอยู่ ทุกอย่างมีทางออกเสมอ
ตั้งแต่เข้าวงการ ครูเป็นคนที่แทบไม่เคยหยุดพักเลย ครูเอาพลังงานมาจากไหนเยอะแยะ มีอะไรที่สร้างพลังกาย พลังใจสม่ำเสมอคะ
ต้องบอกว่าแรงกายเนี่ย พ่อแม่ให้มาตั้งแต่เกิด (หัวเราะ) เป็นคนมีแรงเยอะ แต่สาเหตุที่มีแรงเยอะ อาจจะเพราะว่าเขา เลี้ยงมาแบบเด็กวัดเด็กบ้านนอก ทุกซัมเมอร์ สองเดือนก็จะอยู่ หัวหิน วิ่งไล่ปูลม ปีนต้นไม้ จับแมลง มีหิ่งห้อยด้วย เป็นเด็กเฮี้ยวๆ มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ชอบเล่นกีฬา ชอบรำละคร ใช้แรงเยอะ รำที เหงื่อแตก ยิ่งเต้นระบำนี่ชอบมาก ก็อันนี้คือแรงกาย
ส่วน Inspiration เนี่ยก็เพราะแม่ให้อีกมั้ง คือเห็นอะไรเนี้ย มันจะ อึ้ม! เชื่อมโยง เออทำ นี่ได้นี่หว่า ทำนั่นได้นี่หว่า ต้องบอกว่ามันเกิดมากับตัวเด็กแต่ละคน แต่ละคนเขาก็จะมี Talent ของ เขาที่ไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาค้นพบไหม หรือพ่อแม่ช่วยเขา ค้นพบไหม อย่างครูเนี่ย คุณแม่ท่านเห็นชอบรำละคร เพราะทุกเย็นกลับบ้านมาก็จะมาเล่นกับเด็กวัด แล้วก็จะมาบังคับให้เด็กวัดเล่นลิเกกัน (หัวเราะ) บ้านเราอยู่ติดวัดระฆัง เล่นละครกันแล้ว โรงเรียนราชินีก็จะสอนร้องรำทำเพลงค่อนข้างเยอะ พอเรียนมา ก็จะเอามาเล่น มีแต่งเรื่องเอง แต่งเนื้อเอง ร้องผิดร้องถูก แล้ว คุณแม่ก็ส่งเสริมให้เรียนรำไทยเพิ่มเติมทุกเสาร์-อาทิตย์ พอไปอยู่อังกฤษ ก็เหมือนเทวดาสร้างมาให้มาอยู่ตรงนี้
โรงเรียนที่อังกฤษเป็นแบบสามัญศึกษาปกติ แต่เขาจะมีร้องรำทำเพลงเยอะ คือใครที่ชอบเล่นดนตรีก็จะไปเล่นเปียโน มีร้อง เพลงประสานเสียง มีการละคร ทุกปีต้องทำละคร ทุกคนก็ต้อง ทำละคร ทุกชั้น แล้วประกวดกัน
ก็ได้ความคิดเยอะมากจากตรงนั้น ทุกชั้นเรียนก็ต้องพรีเซนต์ สิ่งที่เราเรียนในคลาส 1 ฉาก ซึ่งเราก็จะรู้ว่าเด็ก ม.1 จะไปสู้อะไร ได้กับพี่ ม.6 แต่บางปี เด็ก ม.1 ชนะ เราก็ดูแล้วก็ Nothing is Impossible มันไม่ได้อยู่ที่ว่าใครรู้มากกว่า มันอยู่ที่ใครมีเสน่ห์ มากกว่า เพราะว่าเด็กๆ เขามีความใส เขามีเสน่ห์ มีความจริงใจ
ก็จะได้ Inspiration ตรงนั้นเยอะ การพูดให้ชัด การอ่าน Poetry โรงเรียนนั้นเขาสอนเยอะมาก เพราะว่าเราเป็นคนชอบ อ่านวรรณคดีไทยตั้งแต่เด็ก อย่างเรื่องพระอภัยมณี สังข์ทอง พี่ เลี้ยงจะเป็นคนอ่านให้ฟังก่อนนอน สมัยก่อนมันไม่มีหนังสือ มากมายเหมือนสมัยนี้ เรื่อง “สี่แผ่นดิน” เนี่ย ก็เลยเป็นคนชอบ อ่านวรรณคดี Inspiration ก็มาจากตรงนั้น แล้วพอข้ามฟาก แถว นั้นมีโรงละครแห่งชาติ หลวงวิจิตรวาทการเป็นเพื่อนคุณแม่ ท่าน ก็ทำ ละครเรื่อง อานุภาพต่างๆ เช่น อานุภาพแห่งความรัก ก็ได้ ดูหลายรอบ ดูแล้วก็ร้องเพลงออกมา แล้วก็ได้คุยกับท่าน ได้รู้จัก ครอบครัวของท่าน ก็เลยมีความรู้สึกรักตรงนี
ตอนที่แต่งงานไปอยู่ต่างประเทศ ก็ยังได้แรงบันดาลใจทำละครบรอดเวย์ และต้องทำหน้าที่ภริยาทูตด้วย
ตอนที่แต่งงานกับท่านทูตแคนาดา ทำละครช่อง 3 อยู่ ก็ จากเมืองไทยไปหลังจากท่านได้รับตำแหน่งที่นิวยอร์ก เราได้รับ เชิญทุกอาทิตย์ไปดูโอเปร่า ดูมิวสิคัล แล้วไม่ได้ดูเฉยๆ แต่ได้คุย กับผู้สร้าง ผู้กำกับ นักแสดง มันก็เกิดไฟท่วมท้น แล้วก็เจอแบบ ผู้กำกับบรอดเวย์ เค้ายุยงส่งเสริมให้ทำการแสดง คืนหนึ่งกับ ภัทราวดี มันก็เลยได้มาทำตรงนี้ (ภัทราวดีเธียเตอร์)
ตั้งแต่แรกที่เข้าวงการมา ครูปรับเปลี่ยนการทำงานและ โฉมหน้าวงการบันเทิงของไทยเยอะมาก งานส่วนใหญ่ เป็น “ครั้งแรก” ของวงการอีกด้วย ตอนนั้นรู้สึกกลัวหรือกังวลหรือไม่คะ เพราะถือเป็นการพลิกระบบเดิมๆ ที่มี ตั้งแต่แรก
ไม่เลย เพราะว่าครั้งแรกของการทำ ทุกอย่างเนี่ย มันไม่ใช่ ครั้งแรกเพราะเราอยากจะเป็นคนแรก เราทำ เพราะเหตุผลที่พอบอกไปทุกคนก็ขำ นะ นี่ไง “ขมจนขำ ” น่ะ เรื่องที่เป็นคนแรกที่ ทำ เรือสำ ราญล่องแม่น้ำ เจ้าพระยา ตอนนั้นอายุ 16 ปี ก็เห็นเรือ คุณแม่จอดอยู่ที่หน้าบ้าน ตอนนั้นก็จบ High School ที่อังกฤษ แล้วไปเรียน Business Administration ที่อเมริกา แต่ไม่ชอบเลย เลยกลับบ้าน ครูเขาก็แนะนำ ว่าหนูชอบอะไรก็ไปเรียนนั่น แต่ก็ยัง ค้นพบไม่ได้ว่าชอบอะไรหรอก แต่เราอยากไปเที่ยวไง แล้วสมัยนั้น มันไม่ใช่ว่าไปไหนเองได้ ไม่ได้นะคะ ธุรกิจแรกในชีวิตก็เกิดขึ้น จากการที่จะไปเที่ยวได้ยังไง จะหนีออกจากบ้านได้ยังไงโดยที่มัน ไม่หนีจากบ้าน แล้วดูดี (หัวเราะ) เรือแม่จอดอยู่ใช่ไหม มีเพื่อน อยู่โรงแรม Oriental ถ้างั้นเอาเรือไปรับฝรั่งมาดินเนอร์ในเรือไหม เสร็จแล้วก็จะไปส่งที่ท่า Oriental แล้วค่อยแวะไปที่อื่นต่อ พอกลับ บ้านมาเที่ยงคืน แม่ก็หลับแล้ว ไม่เคยถามว่าไปไหนมา เพราะแม่ รู้ลูกเหนื่อย ลูกไปทำงาน (หัวเราะ)
ตอนนั้นได้เงินหัวละ 300 บาท ซึ่งเยอะมากในยุคนั้นนะ ไป ทำวันศุกร์-เสาร์เพราะว่าเราจะเที่ยวศุกร์-เสาร์ไง ทุกคนก็บอก นี่ เป็นเรือสำราญลำแรกของประเทศเลยนะ (หัวเราะ)
อย่างเรื่องที่ริเริ่มวัฒนธรรมท่องบทก่อนถ่ายทำตอนนั้น นักแสดงดังๆ เต็มไปหมด แล้วครูเป็นผู้จัดหน้าใหม่ คิด อย่างไรถึงลุกขึ้นมาตัดสินใจเปลี่ยนทันทีคะ
ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย คือเราเรียนมาแบบนั้นไง แล้วมาถึง ปั๊บ เขาก็บอกบท เราก็บอกไม่ต้อง เพราะเรียนมาเขาให้ท่องบท แต่ว่าคนอื่นยังต้องบอกบท แล้วมันต้องรอ มันก็ไม่สนุกที่จะเล่น พอถึงโอกาสที่เราได้จัดเอง ก็บอกทุกคนว่าเรามาเล่นกันให้สนุก นั่นคือความสนุกสนานนะ ไม่ได้สนใจเลยนะว่าใครจะบอยคอต หรืออะไร ถ้าไม่เล่น เดี๋ยวเอาคนนี้มาเล่น ใครอยากเล่นมา ดารา ใหญ่ๆ ไม่เล่นไม่เป็นไร เพราะว่าค่าตัวก็แพงด้วย (หัวเราะ) พอดี ช่อง 3 ตอนนั้นเพิ่งเริ่ม ไม่มีอะไรเลย คำว่า rating ยังไม่รู้จักเลย คิดแต่ว่าจะทำ ยังไงให้มันสนุก การที่เราไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเลย มันก็เลยทำ ให้งานมันดีขึ้น บังเอิญเรามีเจ้านายที่ดีด้วย
—
ดูเนื้อหาทั้งหมดโดยการสมัครสมาชิก หรือซื้อที่ Shopee
