Skip to content Skip to footer

เบรนแดน เฟรเซอร์

“บางครั้งสิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่ย่ำาแย่ และบางครั้งกว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นก็ต้องใช้ เวลานานทีเดียว

นี่คือคำพูดของ “เบรนแดน เฟรเซอร์” จากบทสัมภาษณ์ใน นิตยสาร GQ

แน่นอนว่าในแวดวงฮอลลีวูดยามนี้คงไม่มีเรื่องไหนเป็นที่ กล่าวขานกันเซ็งแซ่ไปกว่าการหวนคืนสู่วงการอย่างยิ่งใหญ่ของ นักแสดงหนุ่มผู้เคยยืนอยู่แถวหน้าอย่างเบรนแดน เฟรเซอร์ ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ แม้แต่ตัวเขาก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะเป็นไปได้ ด้วยบทบาทนักแสดงนำในหนังดังล่าสุด The Whale เฟรเซอร รับบทเป็น “ชาร์ลี” ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษที่ป่วยเป็นโรคอ้วน ด้วยน้ำหนักถึง 600 ปอนด์ และเมื่อพบว่าตัวเองอาจมีชีวิตอยู่ ได้อีกไม่นาน เขาก็พยายามที่จะกลับมาประสานความสัมพันธ์ กับลูกสาวที่หมางเมินกันตั้งแต่เขาหย่าขาดจากภรรยา

ผลงานการแสดงอันยอดเยี่ยมไร้ที่ติในเรื่องนี้ นำพาให้ เฟรเซอร์กลับคืนสู่วงการมายาอย่างน่าภาคภูมิใจที่สุด โดยเขา ได้รับการยืนปรบมือให้เกียรตินานถึง 6 นาที ในงานเทศกาล ภาพยนตร์ที่เวนิสและลอนดอนเมื่อปลายปีที่แล้ว นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมทั้งจากเวที SAG Awards และ Critics Choice Awards และได้รับการเสนอ ชื่อเข้ารับรางวัลต่างๆ กว่า 50 รางวัล นับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง The Whale ซึ่งเปิดตัวที่เวนิสเมื่อปีที่แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ การได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม อันเป็น เกียรติยศสูงสุดสำหรับอาชีพนักแสดง

“ถ้าคุณพูดว่าไอ้หนุ่มคนนั้นจะได้มายืนอยู่ตรงนี้ บอกได้ เลยว่าผมไม่เชื่อหรอก และก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมได้รับ บทบาทการแสดงที่เป็นสุดยอดของชีวิต” เฟรเซอร์กล่าวทั้ง น้ำตาบนเวที SAG Awards

แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ มีเพียงตัวเฟรเซอร์เองเท่านั้นที่รู้ว่า เขาได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ต้องรอคอยนานแสนนาน จนเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ต้องต่อสู้กับความอยุติธรรม และยัง สูญเสียอะไรๆ อีกมากมายหลายอย่าง ซึ่งคิดว่าถ้าเป็นคนทั่วไป จะสู้ไหวและพร้อมจะยอมอดทนรอคอยเกือบ 20 ปีหรือไม่

ในวันนี้ เบรนแดน เฟรเซอร์ ในวัย 54 ปี ได้กลับมา เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หลังจากที่หายหน้าไปจากวงการเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในช่วงที่โด่งดังที่สุด ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งที่เขาเปิดเผย กับนิตยสาร GQ ในปี ค.ศ. 2018 ก็คือ เขาเคยถูกฟิลิป เบิร์ก (Philip Berk) ประธานสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แห่งฮอลลีวูดในขณะนั้นล่วงละเมิดทางเพศ เรื่องอื้อฉาว ครั้งนั้นทำให้สังคมได้รับรู้กันว่าการล่วงละเมิดทางเพศก็เกิดขึ้น กับผู้ชายได้เช่นกัน และแม้ว่าจะมีการร้องเรียน แต่ทาง สมาคมกลับตอบมาว่า มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น

ถึงแม้ว่าตอนที่เกิดเรื่อง เฟรเซอร์จะไม่ได้พูดเรื่องนี้ใน ที่สาธารณะ แต่ก็รู้ได้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับหน้าที่การงาน เริ่มจากที่จู่ๆ เขาไม่ได้รับเชิญไปงานสังคมต่างๆ รวมถึงงานที่ ลดน้อยถอยลง จนเขาเริ่มเดาได้เลาๆ ว่า ตัวเองน่าจะถูกทาง ฮอลลีวูดขึ้นบัญชีดำเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาสุขภาพที่ รุมเร้าและการผ่าตัดหลายครั้งตลอดระยะเวลา 7 ปี อันเป็น ผลจากการเล่นฉากบู๊ด้วยตนเองตลอด รวมถึงการหย่าร้าง ที่จบลงด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล ทั้งหมดได้กลายเป็นมรสุมที่ ถาโถมใส่จนกระทั่งเขากลายเป็นโรคซึมเศร้าหมดทั้งงาน ขาด ทั้งเงิน เขาหายไปจากวงการเกือบ 10 ปี ก่อนจะกลับมารับ บทเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่เคยได้บทนำหรือบทที่ท้าทายอีกเลย

ดังนั้น เมื่อผู้กำกับชื่อดัง ดาร์เรน อโรนอฟสกี เจ้าของ ผลงานหนังดังอย่าง Pi, The Fountain และ Black Swan ได้เสนอบทของ “ชาร์ลี” ที่มีความท้าทายอย่างมาก เขาจึง ตัดสินใจรับด้วยความรู้สึกตื้นตันใจอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสสำคัญ ทั้งยังประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ผู้กำกับชื่อดังรู้จักเขาด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1991 หลังจากภาพยนตร์เรื่อง แรกของเขา “Dogfight” เฟรเซอร์ก็ได้รับบทนำในภาพยนตร์ Encino Man ในปีถัดมา และบทบาทการแสดงที่นำพาให้เขาโด่งดังเป็นพลุแตก ก็คือ George of the Jungle จากนั้น ผลงานที่สร้างความสำเร็จสูงสุดในอาชีพนักแสดงของเขาก็คือ ภาพยนตร์ไตรภาค The Mummy ซึ่งสร้างรายได้ให้เขา รวมแล้วกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับรางวัลด้านการแสดงหลายครั้งก่อน หน้านี้ แต่ฮอลลีวูดไม่เคยมองว่า เบรนแดน เฟรเซอร์ เป็นนัก แสดงเจ้าบทบาทเลย เขามักได้รับบทพระเอกในหนังโรแมนติก แนวตลก หรือหนังแนวแอ็กชัน อีกทั้งด้วยภาพลักษณ์ของหนุ่ม ร่างใหญ่ที่สูงถึง 191 ซม. ดูตลกและอารมณ์ดี จึงไม่ได้สร้าง ความประทับใจให้แก่วงการได้อย่างจริงจัง การแสดงในบทบาท ของ “ชาร์ลี” คือที่สุดแห่งชีวิตของเฟรเซอร์ เพราะเขาต้อง ทุ่มเทชีวิตจิตใจอย่างสุดๆ ในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่จะว่า ไปแล้ว ในเวลานั้นเขาอยู่ในสถานะที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว

ในช่วงที่ชีวิตตกต่ำสุดๆ เฟรเซอร์ถึงกับหมดสิ้นความ เชื่อมั่นในตัวเอง รู้สึกไร้ค่า และสุดท้ายก็หันไปใช้เวลาอยู่กับ ลูกๆ และม้าของเขา หลายครั้งเขาตั้งคำถามว่าคิดถูกหรือไม่ ที่ตัดสินใจเปิดโปงเรื่องนั้น แต่เมื่อมองย้อนกลับไป เรื่องราว แห่งความล้มเหลวสุดเศร้าในชีวิตนั่นเอง คือแรงผลักดันที่ทำให้ เขาสามารถสวมบทบาท “ชาร์ลี” ได้อย่างน่าประทับใจ เพราะ หากไม่มีประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดเหล่านั้น หากไม่ได้เป็น พ่อของลูกชายวัยรุ่นถึง 3 คน เขาก็คงไม่สามารถเข้าถึงความ เป็น “ชาร์ลี” ได้เลย สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งถึงคุณค่า แห่งโอกาส และรู้ซึ้งถึงความไม่แน่นอนของชีวิตเป็นอย่างดี

โดยส่วนตัวแล้ว เฟรเซอร์เป็นคนที่อ่อนโยนและจิตใจดี ชอบช่วยเหลือองค์กรการกุศลต่างๆ เขาเคยอุทิศรายได้ทั้งหมด จากการแสดงเรื่อง Gimme Shelter ให้แก่การกุศลในปี ค.ศ. 2013 ภาพยนตร์ The Whale ได้ทำให้เขาตระหนักถึงอคติ สังคมที่มีต่อคนน้ำหนักเกินและคนที่เป็นโรคอ้วน เขาจึง ตั้งใจว่าจะร่วมมีส่วนรณรงค์ในเรื่องนี้ต่อไป เฟรเซอร์กล่าวว่า ทีมงานต่างก็ทุ่มเทกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยความรู้สึกว่า งานแบบนี้อาจเป็นงานแรกและงานสุดท้ายก็ได้ที่มีโอกาสได้ทำ และเหนืออื่นใด เมื่อหนังเรื่องนี้ได้ช่วยให้คนที่เป็นโรคอ้วน เกิดแรงบันดาลใจและมีความหวังในการมีสุขภาพที่ดีอีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจแล้วว่า ในอนาคตจะเลือกเล่นหนังที่มีคุณค่า ต่อสังคมหรือให้ข้อคิดเป็นหลัก

เคยมีคำกล่าวว่า ศักยภาพสูงสุดของมนุษย์จะถูกดึง ออกมาในสถานการณ์ที่บีบคั้นจนถึงขีดสุด เพราะยามนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ แค่ทำให้เต็มที่และดีที่สุดโดยปราศความ คาดหวัง แต่เวลานั้นแหละ คือเวลาที่เราค้นพบความเป็นไป ได้ของตนเอง ดังที่นักแสดงหนุ่มผู้นี้ได้ค้นพบด้วยตนเอง