Skip to content Skip to footer

ถามตัวเองก่อนว่า เรา “โลภ” แค่ไหน

ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นมา ข่าวใหญ่ที่น่าสนใจ คือความเสียหายของผู้ที่ลงทุนในธุรกิจขายตรงขนาดใหญ่ ที่เกิดจากการตกลงใจ “ซื้อ” สินค้าไปสต๊อกในปริมาณมากๆ เพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำ เสียเงินทำการตลาดและยิงโฆษณา เพื่อหวังว่าจะ “ขาย” สินค้าออกไปอย่างรวดเร็ว เก็บกำไรเร็ว และหาคน มาเป็นเครือข่ายเพื่อขายต่อให้

การสร้างเครือข่ายได้เร็วก็เหมือนกับการสร้างปริมาณซื้อ เพื่อรองรับการขายของตัวเองให้มากขึ้นไปอีก เพราะเป็นการรับสินค้าต่อไปขายในตลาดอีกทอดหนึ่ง โดยมีแรงจูงใจที่สำคัญ คือ ยิ่งขายและหาลูกข่ายได้มาก เงินที่ได้คืนก็จะเร็ว หลายคนไม่ได้ อยากเป็นดารา หรือขับรถสปอร์ตราคาสูง แต่การมีกำไร “มาก และเร็ว” ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการเสมอ

ผู้เสียหายปลายทาง คือ สมาชิกในระดับท้ายๆ ที่ขายสินค้าจริงไม่ได้ ทุนจมไปแล้ว และผู้ที่ได้ประโยชน์ระหว่างทาง คือ ผู้ที่ไม่มีสินค้าติดมือ ได้เงินเข้ามาเรื่อยๆ จากลูกข่ายด้านล่างที่หมุนเงินเข้าและฐานจำนวนที่กว้างขึ้น

หยุดเรื่องราวที่อ่านไว้ตรงนี้ก่อนครับ…

เมื่ออ่านถึงตรงนี้ เราพอจะเห็นภาพในสิ่งที่เกิดขึ้น คือ การหมุนของเงินในเครือข่ายหยุดชะงัก เพราะ “ไม่มีความต้องการ” ในสินค้าจริงๆ ในตลาด… เพราะที่ผ่านมามันมีแต่ความต้องการ “เทียม” ที่สร้างขึ้นจากฐานของปริมาณซื้อที่กว้างขึ้น เอาแค่ ลูกข่าย 1 ชั้นต่อเครือข่าย 10 คน คนที่เหนือไป 1 ระดับก็เสมือนมีคนให้ขายต่อ 100 คนแล้วนะครับ แล้วในตลาดก็จะมีคน 100 คนที่ขายสินค้าแบบเดียวกัน คุณภาพเดียวกัน ดังนั้นต้องมีผู้ซื้อ ผู้ใช้ขนาดไหน และต้องมีการโพรโมตผู้ซื้อด้วยความรวยกับ ความสำเร็จเป็นเสมือนการขาย “ภาพลักษณ์” ให้คนอยากเป็น แต่ไม่ใช่ขาย “สินค้า” ที่มีการใช้จริง

เรื่องนี้ก็คล้ายกับมิจฉาชีพที่ลงสื่อเรื่องการให้เอาเงินไปลงทุน โดยใช้ชื่อแอบอ้างของบุคคลและบริษัทที่น่าเชื่อถือ โดยบอกว่าจะให้ผลตอบแทนในระดับ 7% บ้าง 10% บ้าง ต่อเดือน

ทีนี้ถ้าเรา “เอ๊ะ” สักนิด ก่อนจะใช้เงินที่หามาได้ยากของตัวเองลงทุนไปว่ามันสมเหตุสมผลไหม เป็นไปได้แค่ไหนในการหาผลตอบแทนระดับนั้น “เอ๊ะ” ว่าเรากำลังโดน “ความโลภ” ปิดบังอะไรอยู่ไหม เราก็น่าจะสามารถปกป้องทรัพย์ของเราได้มาก “เอ๊ะ” ว่าถ้าเราเอาของมาแล้วเราจะขายใคร สินค้านั้นคนรอบตัวเราใช้ หรือมันมีความจำเป็นที่จะต้องซื้อปริมาณมากๆ ไหม หรือ “เอ๊ะ” ว่าบริษัทที่มีชื่อเสียงขนาดนั้น ทำไมไม่ออกหุ้นกู้หรือไปกู้ธนาคาร จะมาเอาเงินเราไปลงทุนแล้วให้ดอกเบี้ยสูงๆ ทำไม ไม่ต่างกับการให้ดาราหรือเอารถหรูมาเป็นพรีเซนเตอร์ โดยการแปะหน้าเพจด้วยชื่อบริษัทที่เป็นที่รู้จัก

การปกป้องดูแลทรัพย์ที่หามาได้ไม่ให้เสียหายไปนี่ยากพอๆ กับการหาทรัพย์ใหม่นะครับ การที่เรามีต้นทุนแล้ว แล้วโดนทำลายลงไป นี่มันเสียหายด้านจิตใจเยอะมาก เพราะมันสามารถ “ทำลาย” ความมั่นใจ ความภูมิใจของเราไปด้วย และเป็นสนิมกินใจให้อ่อนแอ สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง มันต่าง จากการใช้ทรัพย์ที่หาได้เพื่อลงทุนให้งอกเงย หรือใช้ดูแลคนรอบตัว เพราะอันนั้นมันเป็นการเสียทรัพย์แบบที่มีประโยชน์

เราไม่ผิดที่อยากจะหาเงินทอง หากำไร แต่เมื่อเราโลภเกินไป มันจะทำลายเหตุผลและทำลายทรัพย์ที่มีได้เสมอ ที่เสียหายมากกว่าทรัพย์คือสภาพจิตใจ ดังนั้นจากเหตุการณ์นี้และต่อไปในอนาคต เราควรจะ “เอ๊ะ” ถามตัวเองก่อนว่า ในตอนนั้นเรา “โลภ” แค่ไหนอยู่ ความคิดและการตัดสินใจของเรามีความโลภเจือมากน้อยขนาดไหน เพราะความโลภสามารถบังตาเราให้เห็นผิดชนิดที่ว่า รู้ตัวอีกทีหมดตัว แถมหนี้ท่วมหัวเลยทีเดียว

ด้วยความปรารถนาดีจากผู้เขียนครับ

อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 60 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่

สำหรับลูกค้าในประเทศ

สั่งซื้อนิตยสารได้ที่นี่