ก็ว่าจะเว้นช่วงเขียนถึงแบรนด์นี้สักพักนึง… แต่ทำไม่ได้ ก็จริงๆ เพราะช่วงนี้เค้าขยันสร้างความเปลี่ยนแปลงเหลือเกิน ในยุคที่ Agility กลายเป็น Core Value ที่สำคัญของหลายๆ องค์กร แบรนด์นี้ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนค่ะ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก MINI
ตั้งแต่การกล้าทิ้งรุ่นตู้กับข้าวสุดคลาสสิกอย่าง Clubman แล้วตัดสินใจไปสร้างอนาคตต่อกับ Cooper, Aceman และ Countryman ซึ่งมาในโฉมใหม่ทั้งหมดโดยพร้อมเพรียงไม่มีกั๊ก แบบค่อยๆ ปล่อย เพราะมั่นใจจัดว่า Segmentation ได้ชัดเจนแบบเน้นรอยต่อ ที่สำคัญเป็นไฟฟ้าล้วนทั้ง Range แต่ขอเก็บ Full ICE ติดปลายนวมไว้นิดหน่อย แต่เป็น Full ICE ตัวแรง อย่าง MINI Countryman John Cooper Works ที่นำเข้ามาจากเยอรมนีทั้งคัน รวมทั้ง MINI Countryman แบบ Full – electric นอกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพลังงานสะอาดทั้งหมด
ไม่พอแค่นั้น นี่คือ Big move ของจริงของมินิ เพราะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นรถมินิ Made in China ที่กำเนิดมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เพราะแม้แต่ MINI Full – electric รุ่นก่อนก็ยังต้องผลิตที่โรงงานในอังกฤษ ดังนั้นเราจึงจะได้เห็นมินิที่ราคาพิเศษสุดจริงๆ ในโลกหล้า
ส่วนราคานั้น เริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท ราคาที่แม้กระทั่งเซลส์มินิเองยังต้องช็อกกับ Cooper SE และแม้จะเป็น Aceman ที่ใหญ่ขึ้นมา เซลส์ยังบอกว่าประมาณ 2 ล้านต้นๆ บวกลบ ปรากฏการณ์ทลายกำ แพงทางภาษีนี้ทำ ให้ยอดจองทดลองขับทะยานไปถึงเกือบร้อยคิว (เฉพาะสาขาที่ผู้เขียนไป ด้อมๆ มองๆ สาขาเดียวนะ) โดยเฉพาะ Aceman ที่ดูจะลงตัวพอดี๊พอดีทั้งรูปลักษณ์และขนาด แต่คูเปอร์รอบนี้ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
เป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนรู้สึกว่าคูเปอร์ไม่ได้เล็กอย่างที่ผ่านมา ด้วยมิติของตัวรถที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อยในทุก Dimension ฐานล้อ กว้างขึ้น ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ห้องโดยสารกว้างขึ้น เก็บสัมภาระ พับเบาะ ออกทริปได้สบาย แต่คูเปอร์ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยากจะคุ้นชินคือ ไฟท้ายที่เปลี่ยนไปมาก เป็นทรงสามเหลี่ยม แนวตั้ง แม้จะเข้าใจว่าถอดแบบมาจากธง Union Jack แต่ความ “ติดโค้ง” ของแฟนมินิ ก็คงต้องใช้เวลาเยียวยากันสักพักหนึ่ง
ดีไซน์หน้าตาโดยรวมของ MINI All – New ทุกรุ่นรอบนี้ดู หรูเนี้ยบขึ้นมาก โดยเฉพาะ Countryman ที่ไม่ดูเป็นหนูถึกแบบ เมื่อก่อน แม้จะมีพี่ๆ แซวว่า ไฟหน้า All – New นั้นจะดูเหมือน รถ Swift บ้างอะไรบ้างก็เถอะ เชื่อว่าแฟนมินิก็ยังคงทำความเข้าใจได้ ให้ไปโฟกัสที่ภายในดีกว่า ซึ่งต้องขอบอกว่า มีความแฟนตาซีอย่างมาก MINI legacy อย่างจอกลมนั้นให้แบบ OLED ที่ร่วมพัฒนากับซัมซุง คมชัด สีสวย ลื่นไหล Interface อลังการเปลี่ยนตามความชอบได้ 7 โหมด อยากจะใส่รูปตัวเองเซลฟีกับน้องแมวที่บ้านก็จัดได้ทันทีที่เชื่อมต่อระบบ Apple Car Play เหมือนยกจอสมาร์ตโฟนมาอยู่ในจอกลมได้อย่างงดงาม
ในส่วนโหมดการขับขี่ สามารถปรับได้ แสงสีเสียงภายในรถจะเปลี่ยนไปแบบได้อารมณ์ในระดับที่เรียกได้ว่า ‘ทำ ถึง’ ไฟ หน้าปรับได้ 3 แบบ ซึ่งพ่วงมาเป็นแพ็กเกจกับไฟท้าย 3 ดวง ที่ปรับตามกัน วัสดุภายในเป็นหนัง Vegan ทั้งหมด ดู Chic & Stylish ตั้งใจทำมาเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่จริงๆ ซึ่งก็ไม่ ทำ ให้ผิดหวัง เมื่อดูสมรรถภาพการวิ่งที่ทำ ระยะได้ไกลถึง 402 กิโลเมตรตามที่โฆษณาไว้ WLTP ขับจริงน่าจะอยู่ที่ประมาณ 330-350 กิโลเมตรเหลือๆ เหนือกว่าคูเปอร์เวอร์ชันเดิมเยอะ มาก รู้เลยว่าไม่ได้มาแบบชิมๆ เล่นๆ อีกต่อไป แต่ตั้งใจมาสู้ศึก Full-electric จริงๆ
ผู้เขียนก็เชื่อว่าสู้ได้ทั้งสมรรถนะ ราคา ความคุ้มค่า และ“แบรนด์” ค่ะ
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 59 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่
สำหรับลูกค้าในประเทศ