
เรื่องนี้อาจารย์ประสบมากับตัวเอง ด้วยสมัยก่อนอาจารย์ เป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว ไม่รอบคอบ มีภาระอะไรก็อยากทำให้เสร็จๆไป พอเห็นอะไรในสิ่งที่ติดค้างต้องจัดหาอยู่ เมื่อเห็นว่าพอได้พอดีก็ไปตกลงว่าจะซื้อ ตกปากรับคำให้ความหวังเจ้าของทรัพย์นั้นเรียบร้อย จะได้จบสิ้นภาระไป ไม่กี่วันผ่านไปก็ไปขอยกเลิก โดยไม่คิดว่าเป็นการผิดศีล ส่งผลเป็นอกุศลวิบาก
ช่วงก่อนที่ชีวิตจะจริงจังกับการปฏิบัติวิปัสสนาเข้มข้น อาจารย์ทำแบบนี้ 2 ครั้ง แม้ไม่มีเจตนาจะโกหก แต่เมื่อเจ้าของ ทรัพย์ที่คิดว่าจะขายทรัพย์ได้แล้วถูกโทร.ยกเลิก ย่อมผิดหวัง เสียใจ ไปจนถึงหมดกำลังใจเป็นธรรมดา
อันว่ากรรมนั้นไม่เคยบิดพลิ้วกับใครเลย เวลาล่วงมานาน หลายปี แม้จะคิดว่าด้วยบุญมากมายที่ได้บำเพ็ญไว้ในชาตินี้จะ ทำให้กรรมนั้นไม่ส่งผลแล้ว แต่พอถึงเวลาที่วิถีวิบากนั้นมาถึง ก็ส่งผลแบบกรรมตัดรอน แบบแสดงสภาวธรรมให้เห็นในจิตเลย
โดยเมื่อครอบครัวให้ขายทรัพย์บางอย่างที่เคยเป็นกรรมสิทธิ์ของอาจารย์ ต่อเมื่อมีผู้ตกลงรับปากว่าจะซื้อ เตรียมนัดวันจะทำสัญญา แต่ถัดไปไม่กี่วันก็มีเหตุให้เขายกเลิกคำมั่นว่าจะซื้อ ก่อนที่จะถูกยกเลิก อาจารย์ได้เห็นสภาวธรรมในจิตเป็นกรรไกร อันใหญ่ปรากฏขึ้น หมายถึงมาตัดโอกาสที่จะขายให้หลุดลอยไป จากนั้นจิตก็ไปคิดถึงการผิดสัญญาจะซื้อทรัพย์ครั้งหนึ่งซึ่งลืมไป แล้ว ซึ่งตกลงรับปากจะซื้อเขาง่ายๆ แล้วก็ยกเลิกเขาง่ายๆ เหมือนกัน สภาวธรรมที่เห็นเป็นกรรไกรในวันก่อนที่จะถูก ยกเลิก แสดงให้เห็นสภาวะกรรมตัดรอน และบอกให้รู้ว่ากรรมนี้มาจากอะไร เป็นอันว่าใช้กรรมไปแล้วหนึ่ง
แล้วโอกาสที่จะได้ขายทรัพย์ก็มาอีก ครานี้คืนก่อนที่จะถึง กำหนดนัดหมายว่าจะได้เจราจาตกลงกัน ก็ปรากฏในจิต เห็น กรรไกรหัวปักพื้น แล้วโอกาสก็หลุดลอยไปอีก พอมีโอกาสอีก ใกล้แค่เอื้อมแล้ว ก็เห็นในจิตว่าตนเองกำลังจะขึ้นไปรับรางวัล บางอย่าง แต่จู่ๆก็หมดแรงล้มลง ไปรับรางวัลไม่ได้ ผลใน ความจริงก็คือ คนที่ตั้งใจจะซื้อไม่ติดต่อมาตามนัด หายเงียบ ไปเฉยๆ รางวัลที่เห็นว่าจะได้รับในจิตก็คือรางวัลจากผลบุญ แต่ก็ถูกกรรมมาตัดรอนไปเสียก่อน จิตก็บอกให้รู้ถึงอีกครั้งที่เคย ไปตกลงว่าจะซื้อคอนโดให้ลูก ไปดูแล้วก็เห็นว่าพอไหว ด้วยความที่ไม่อยากตระเวนหาดูอีกแล้ว เลยก็เลยตกลงและวาง มัดจำไปเล็กน้อย แต่แล้วเมื่อถูกท้วงว่าที่ตั้งไกลไป ก็เลยโทรไป ยกเลิกเขา ซึ่งก็ยอมให้เขาริบมัดจำไป ขอโทษขอโพยเขาเป็น การใหญ่ แต่กระนั้นกรรมก็ยังตามมาตัดรอนโอกาส
กรรมทั้งสองข้อที่เคยทำไว้ ขนาดไม่ได้ทำด้วยจิตที่คิด เบียดเบียน แต่ทำไปโดยคำนึงถึงแต่ประโยชน์ตน ไม่ได้คำนึง ถึงความรู้สึกของผู้อื่น ยังต้องรับผลถึงเพียงนี้ ซึ่งหากเปรียบ ให้เห็นเป็นน้ำหนักกรรม ก็เปรียบได้เป็นอัตรา 1 ต่อ 20 เท่า คือสัญญาว่าจะซื้อ 10,000 บาท แต่พอถึงเวลาโดนกรรมส่งผล ก็เสียโอกาสไปถึง 200,000 บาททีเดียว แต่หากทำไปด้วยจิต ตั้งใจคิดเบียดเบียน น้ำหนักกรรมจะทวีคูณขึ้นอีกขนาดไหน
อกุศลวิบาก เวลาส่งผลนี่ เผ็ดร้อนและโหดจริงๆ
แต่ด้วยจิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว ก็มองเห็นตามความจริง ไม่ คร่ำครวญ แค่ยอมรับ แล้วใช้ชีวิตสร้างกุศลต่อไป
คำมั่นสัญญาที่อาจารย์เคยให้ไว้แล้วส่งผลหนักจนชีวิตแทบ ล่มสลายก็คือ คำสาบานที่ให้ไว้ต่อหน้าพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ในห้องพระที่ไม่คิดว่าจะศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ ว่าจะไม่เปลี่ยนศาสนา ตลอดชีวิต เพียงเพราะอยากได้ดังใจในสิ่งหนึ่งตามที่กิเลสรบเร้า แต่แล้วก็ไม่ใส่ใจในคำมั่นนั้น มีเหตุให้ไปเปลี่ยนศาสนา นับจาก นั้นชีวิตก็แทบมิดธรณี เมื่อเปลี่ยนกลับมานับถือพุทธเหมือนเดิม วิบากก็คลายลง นี่คือเหตุการณ์ที่เกิด 30 กว่าปีมาแล้ว
คำมั่นสัญญา สัตยาธิษฐาน ก่อนจะทาสิ่งนี้คิดตรองให้ดี เมื่อให้แล้วต้องรักษาคำมั่นสัญญา ไม่ว่ากิเลสจะหาเหตุ รบเร้า จิต ยกเอาเหตุผลมาอ้างให้ถอนคำามั่นอย่างไร จำไว้ว่านั่นคือ บททดสอบจากกิเลสมาร ทั้งทดสอบเพื่อให้หลงทำบาป ชีวิตจะ ได้จม ไม่เป็นพลังให้ฝั่งโลกุตรธรรมแข็งแกร่ง ขอเป่าหูให้ยกเลิกคำมั่นสัญญา เท่ากับทอนกำลังฝั่งธรรมไปได้อีกหนึ่ง เป็นการ พยายามปล้นคุณธรรม คนที่รักษาคำสัตย์เท่านั้นจึงจะมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง ผู้ที่ไม่รักษาคำสัตย์ เปล่งวาจาออกไป แล้วทิ้งขว้างไปง่ายๆ เมื่อถึงวันที่กรรมส่งผล เขาจะได้รับความ ทุกข์ทรมานใจอย่างสาหัส เวลาคนคิดจะทำบาป มักไม่คำนึงถึง ผลที่จะได้รับ ต่อเมื่อผลนั้นมาถึงแล้ว จึงรู้ว่าสายเกินแก้ บางคนต้องมีชีวิตอยู่แบบตายทั้งเป็น
อาจารย์เห็นศิษย์หลายคนเดินออกไปจากสัตยาธิษฐาน และให้คำมั่นสัญญาอย่างง่ายดาย ราวกับสิ่งที่เขาพูดออกมานั้น ไม่มีความหมายให้ยึดถือเลย นับแต่นั้นมาอาจารย์ไม่ให้มีการให้ สัตยาธิษฐานในสายธรรมอีก เพราะไม่อยากให้เขาติดกรรม ใครมีวาสนา มีความมั่นคง เขาก็ต้องได้รับประโยชน์ของเขาเอง ไม่มีใครสามารถปล้นผลลัพธ์ในความดีไปจากเขาได้
บุคคลที่แม้แต่สิ่งที่ตนเปล่งวาจาออกมาอย่างมีสติสัมปชัญญะ คิดตรองโดยชอบแล้ว ยังไม่รักษาคำพูดของตน เมื่อถึงเวลาที่ กรรมส่งผลย่อมแรงมาก และยิ่งให้สัตยาธิษฐานกับพระรัตนตรัย ก็ไม่รู้ว่าจะพรรณนากรรมนี้อย่างไร เพราะเคยโดนมากับตัวเอง
ส่วนสัตยาธิษฐานในการเข้าสู่กลุ่มในฐานะกัลยาณมิตรมา เพื่ออ่านอรรถธรรม แล้วสัญญาว่าจะไม่เอาสิ่งที่เราถ่ายทอดไป บิดเบือน ส่งไปให้เขาทำลายกันดังที่มีผู้กระทำมา อันนี้ทำได้ เพราะเป็นการแสดงว่า “มีเจตนาว่าจะไม่ใส่ร้าย เป็นการเข้ามา ด้วยความเป็นมิตร ไม่ใช่แฝงตัวมา”
ใครที่ไม่กล้าให้สัตยาธิษฐานว่าจะไม่ทำร้ายครูบาอาจารย์ที่ ตนได้มาพิสูจน์ธรรม ได้เห็นปฏิปทาของท่านแล้ว ก็ไม่สมควร จะมาเป็นศิษย์หรือเข้ามาในกลุ่ม เพราะแม้แต่ความดีเรื่องศีล อันเป็นข้อพื้นฐานก็ยังมั่นคงหนักแน่นไม่ได้ การกระทำใดๆ ของเขาก็ย่อมไม่อาจเชื่อถือได้ วันหนึ่งเมื่อเขาได้ประโยชน์ เขา อาจทำตัวดีเป็นเทพ แต่ไม่นานเมื่อถูกสะกิดอัตตา เขาอาจ กลายเป็นซาตาน ดังนั้นอยู่ห่างกันไว้ดีที่สุด
เราอาจเคยพลาดทำกรรมมาหลายอย่างทั้งในอดีตชาติและ ปัจจุบันชาติ เวลาถูกกิเลสรบเร้าให้ทำบาปก็มักไม่คิดถึงผลที่จะ ได้รับ กรรมนั้นยุติธรรมเสมอ แต่มนุษย์นี่แหละที่ไม่ยุติธรรม ต่อผลกรรม
สำหรับผู้ใดที่กำลังเสวยอกุศลวิบากอยู่ ก็พึงคิดว่า สิ่งใดเมื่อ ตกลงไปถึงที่สุด ทิศต่อไปย่อมต้องไต่ระดับขึ้นเป็นธรรมดา เช่น เดียวกันกับผู้ที่กำลังอยู่อย่างสุขสบาย คิดอะไรได้ดั่งเนรมิต ชีวิต ดีเลิศไปเสียทุกอย่าง ก็พึงคิดเช่นกันว่านี่เป็นผลจากกุศลกรรม แต่เมื่ออกุศลที่เคยทำไว้ส่งผล ก็ขอให้ทำใจพร้อมรับอย่างมั่นคง
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด นี่คือคำสอนของพระบรมศาสดา
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 53 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่
 
	 
	 
	 
						
									 
						
									 
						
									