
อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล
การสวดมนต์เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการได้รับพลังจากคุณพระศรีรัตนตรัยปกปักรักษาให้ชีวิตได้ที่พึ่ง มีพลังคุ้มภัย หยุดโลกที่วุ่นวายทั้งภายในและภายนอกในแต่ละวันมาสู่การฝึกสติและสมาธิ ด้วยการมีสติจดจ่ออยู่กับการสวดมนต์ชั่วขณะหนึ่ง
บทสวดมนต์ที่เป็นคำบาลีนั้น คือการส่งกระแสจิตน้อมสำนึกพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าและคุณพระศรีรัตนตรัย เป็นการสร้างกุศลที่นอกเหนือจากการได้รับพลังเกื้อหนุนจากคุณพระศรีรัตนตรัย
แม้การสวดมนต์ไม่ได้ปรากฏว่าอยู่ในคำสอนของพระบรมศาสดาโดยตรง แต่ในหลายวาระพระพุทธเจ้าก็ทรงให้เจริญ พุทธมนต์เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย เช่น โพชฌงค์ 7 ซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎกว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะผู้อาพาธหนักที่ถ้ำปิปผลิคูหา และทรงแสดงธรรมเรื่องโพชฌงค์ 7 เป็นเหตุให้พระมหากัสสปะหายจากอาพาธ อีกครั้งพระองค์เสด็จไปเยี่ยมพระมหาโมคคัลลานะที่อาพาธหนักอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ก็ทรงแสดงโพชฌงค์ แล้วพระมหาโมคคัลลานะหายอาพาธเช่นเดียวกัน หรือแม้ครั้งที่พระพุทธเจ้าเองประชวรหนัก พระมหาจุนทะจึงเข้าไปเฝ้า และแสดงธรรมโพชฌงค์ 7 ถวาย จนพระองค์ทรงหายจากประชวร
โลกทั้งใบคือกระแสพลังงาน จิตก็เป็นกระแสพลังงาน เสียงก็เป็นกระแสพลังงาน การสวดมนต์ด้วยการตั้งจิตสวดเพื่อ การสรรเสริญ ก็เป็นการตั้งจิตน้อมรับพลังกุศลมาสู่ชีวิต จัดเป็นบุญประกอบคุณงามดี ตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ ข้อ “อปจายนมัย” เป็นการแสดงความเคารพนอบน้อมต่อผู้พึงนอบน้อมด้วยการเปล่งวาจาสรรเสริญพระคุณ
การสวดมนต์เป็นจิตสำนึกของกัลยาณชนหรือคนดี ที่ย่อมแสดงการสักการะสรรเสริญพระพุทธองค์ ซึ่งการสวดมนต์ นั้นเป็นการกระทำที่ง่าย และใช้เวลาน้อยมากในแต่ละวัน หากเทียบกับการนั่งสมาธิและวิปัสสนากรรมฐาน ที่ทำได้ยากกว่า ต้องออกฝึกฝนอบรมจิตเรียนรู้วิธีที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้หลงทาง จึงจะปฏิบัติภาวนาเป็นพุทธบูชาได้ ต่างจากการสวดมนต์ที่สามารถทำได้ทุกคน
ดังนั้น การสวดมนต์จึงมีแต่ผลดีมากมาย และหากสวดด้วยจิตที่ตั้งมั่น จดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์ ไม่ไหลไปคิดฟุ้งซ่าน จิตจะเกิดเป็นกำลังสมาธิ ทำให้กระแสพุทธบารมีและกระแสคุณพระศรีรัตนตรัย หลั่งไหลมาปกปักรักษาได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะจิตที่ตั้งมั่นไม่คลอนแคลน เปรียบเหมือนภาชนะที่ตั้งอยู่บนพื้นที่มั่นคง ที่สามารถรับสิ่งที่หลั่งไหลเข้ามาได้มากกว่า ภาชนะที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สั่นไหวโยกคลอนตลอดเวลา
บทสวดมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์มาก 3 บทที่อาจารย์แนะนำ บท แรกคือ บทไตรสรณคมน์
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ตติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ตติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
ตติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ความหมายของบทสวดนี้ แปลว่า ขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เป็นบทสวดที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ท่านกล่าวว่าศักดิ์สิทธิ์มาก จากเรื่องเล่าโดยในครั้งหนึ่งที่ท่านธุดงค์กลางป่า แล้วถูกลองดี มีผู้ทำของมาใส่เพื่อทดสอบบารมีท่าน เป็นตะขาบตัวใหญ่ตะกายจะเข้ามาในกลด สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ท่านสวดบทไตรสรณคมน์ ย้ำๆ สักพักตะขาบนั้นก็หายไป ไม่สามารถกรายกล้ำท่านได้
ในหลายวาระสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเทศนาธรรมโปรดชนทุกลำดับชั้น เมื่อชนเหล่านั้นแจ้งในธรรม ก็จะเปล่งวาจาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ขอถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ หรือเป็นที่พึ่ง พุทธมนต์บทนี้จึงเป็นประตูบานสำคัญ ในการได้รับกระแสพุทธบารมีมาเป็นที่พึ่งของชีวิต จากประตูบานแรกจะนำ ไปสู่บานต่อๆ ไปที่จะทำให้จิตมีความหนักแน่น มั่นคงในธรรม จนอยากรักษาศีล ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ใน ทำนองคลองธรรม ไม่หลงไปสู่การเป็นมิจฉาทิฏฐิ และหากมุ่งมั่นพากเพียรไปจนถึงการปฏิบัติวิปัสสนา ก็จะทำให้สิ้นภพจบ สิ้นการเวียนว่ายในสังสารวัฏได้
บทสวดมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์มากอีกบทคือ พระคาถาชิน บัญชร ขึ้นต้นด้วยบทสวดว่า
ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตวา มารัง สะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา…
ซึ่งในคำแปลจะเป็นการโน้มนำ เอาพลังคุณพระศรีรัตนตรัยมาปกปักรักษาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นบทที่มีพลัง ฝั่งปกปักรักษา ศัตรูทำอะไรไม่ได้ เป็นบทสวดมนต์ที่ช่วยหนุนบารมีทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะเมื่อภัยอันตรายใด กล้ำกรายไม่ได้ ก็จะทำให้การทำกิจการงานใดสำเร็จราบรื่น อีกทั้งยังมีพลังคุ้มภัย ไม่ให้พวกมิจฉาทั้งหลายเข้าถึงตัวได้
ควรสวดให้ได้วันละ 1 จบ แต่ไม่เกิน 3 จบ เพื่อเอาเวลาไปอบรมจิตนั่งสมาธิจะดีกว่า เป็นการปฏิบัติธรรมที่สมดุล
หลักการสวดพระคาถาให้ได้ผล คือ ผู้สวดมนต์ต้องทำจิตให้พร้อมกับการเชื่อมพลัง ด้วยการทำจิตให้มีสมาธิ ตั้งมั่นในการสวดอย่างมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวชัด สวดด้วยจิตที่มีสมาธิสูง ก็จะยิ่งรับพลังศักดิ์สิทธิ์ได้มาก
พระคาถาอีกบทที่ควรสวดให้ได้ทุกวัน วันละ 1 จบ คือ พระคาถาชัยมงคลคาถา หรือ พาหุงมหากา เป็นบทที่มีพลัง ฝั่งเย็น ความหมายมีทั้งเป็นพระคาถาสรรเสริญพระพุทธเจ้า ที่ทรงชนะมาร และในบทมหาการุณิโกนาโถ ก็เป็นบทเมตตา น้อมนำความเจริญและสิริมงคลมาแก่ตัวเอง หากสวดให้ผู้อื่น ก็เป็นการแผ่เมตตาให้อย่างมีพลัง โดยเฉพาะท่อนสุดท้ายซึ่ง แยกออกมาเป็นบทสัพพมงคลคาถา
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะ พุทธา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะ ธัมมา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะ สังฆา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
ความหมายโดยรวม – ขอสรรพมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า ขอเหล่าเทพยดาทั้งปวงจงรักษาข้าพเจ้า ด้วยอานุภาพแห่ง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ขอความสุขสวัสดีทั้งหลาย จงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
อาจารย์เห็นว่า บทสัพพมงคลคาถา มีพลังในการแผ่เมตตาทั้งแก่ตนเอง และแก่ผู้อื่นสูงมาก หากสวดให้แก่ศัตรู หรือผู้ที่เราอยากให้เขาลดความหยาบกระด้าง ให้จิตเขาได้อ่อนน้อมเข้าหาธรรม พุทธมนต์บทนี้มีความอ่อนโยน ช่วย กล่อมจิตกระด้างให้อ่อนลง จนยอมน้อมมาในธรรม เป็นการปลุกจิตเดิมให้มีพลังขึ้นมาทีละน้อย อีกทั้งขึ้นชื่อว่ามงคลนั้น อันใดที่จะเป็นกระแสที่ทำให้ชีวิตเจริญ ก็ย่อมได้รับพลังจาก พระคาถานี้ นำพาชีวิตให้พบกับสิ่งที่ดีงาม และความรุ่งเรืองแก่ชีวิต ในแบบที่ดีงามและมีความยั่งยืน
หนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง การแบ่งเวลาอย่างน้อยวันละ 5 นาที หรือไม่เกิน 15 นาที เพื่อการประกอบบุญด้วยการสวดมนต์ เป็นสิ่งที่พึงทำอย่างยิ่ง เพราะชีวิตนั้นถูกผลักดันด้วยอานุภาพของกรรมใหม่และกรรมเก่า โดยมีบุญเก่าหนุนไว้เป็นช่วงๆ หาก ไม่ตั้งใจประกอบบุญใหม่ไว้พยุงชีวิตบ้างเลย ถึงเวลาที่มีวิบากถาโถมมา ชีวิตก็พลิกผันได้ ดั่งที่มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย การสวดมนต์เป็นการประกอบบุญที่ง่าย ทำได้ทุกที่ทุกเวลาที่เหมาะสม หากสวดมนต์ก็ไม่สวด ปฏิบัติภาวนาก็ไม่เอา จะเน้นแต่จะซื้อบุญด้วยการหยอดตู้ทำบุญโดยไม่มีกุศลเจตนาใด นอกจากจะมีโอกาสเจอของปลอมแล้ว พลังอานิสงส์ใดๆ ก็แทบไม่ได้
การทำบุญหรือประกอบบุญ เริ่มต้นที่การตั้งเจตนาให้ถูก เข้าใจถึงการสร้างเหตุและการส่งผล ก็จะทำให้มีแรงบุญหนุน ชีวิตต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี อย่าหยุดตัวเองอยู่ที่แค่การสวดมนต์เท่านั้น สำหรับชาวพุทธที่ได้มีวาสนาเกิดในพระบวรพุทธศาสนา แล้ว ควรทำนุบำรุงวาสนาของตนให้เติบใหญ่ ไม่ให้แคระแกร็นด้วย การไม่ใส่ใจประกอบบุญอันใดไว้เลย ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ทุกคนมีจุดหมายปลายทางเดียวกันหมด แต่ที่ไปของแต่ละคนจะต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ทำไว้ในยามยังมีลมหายใจอยู่
การสวดมนต์เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะพยุงจิตไปให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ การสวดมนต์จริงจังประจำทุกวัน เป็นการ ให้รางวัลแก่ชีวิตที่มีค่ายิ่ง
ดูเนื้อหาทั้งหมดโดยการสมัครสมาชิก หรือซื้อที่ Shopee