Skip to content Skip to footer

วิบากกรรมของพระอริยเจ้าและผลกรรมของพระทุศีล

เป็นความเข้าใจผิดของคนส่วนมากว่า เมื่อบรรลุธรรมแล้วจะไม่ต้องรับผลกรรม แต่ในความจริงนั้น แม้บรรลุแล้วก็ยังต้องรับผลกรรมไปจนถึงเศษกรรมที่ยังมาสนองไม่หมด แต่เมื่อละสังขารเป็นอิสระจากวัฏสงสาร ไม่ต้องมามีรูปขันธ์แล้ว ก็ไม่มีกรรมอะไรมาสนองได้อีกแล้ว เพราะหมดสิ้นขันธ์ห้าที่จะต้องมาเป็นเครื่องรองรับกรรม เพราะสิ้นสังขารการปรุงแต่งแล้ว

ดังนั้นแม้แต่พระบรมศาสดาผู้ทรงพุทธบารมีสูงส่ง ยังต้องใช้เศษกรรมที่เคยกระทำ มาแต่อดีต พระอริยสงฆ์หรืออริยบุคคลก็พึงตระหนักว่า วันใดวันหนึ่ง กรรมที่เคยกระทำ ไว้ย่อมส่งผลเราจะหวังแต่กรรมดีไม่ได้ ต้องมีใจพร้อมยอมรับกรรมเก่าด้วย

เวลากรรมเก่ามาสนองผลกับอริยสงฆ์นั้น หากเป็นกรรมต่อร่างกาย ท่านก็จะได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัสเช่นเดียวกับปุถุชน หาใช่ว่าเวลาประสบกรรมจะไม่เจ็บ หากเป็นกรรมที่ส่งผลต่อความรู้สึก ท่านก็จะมีช่วงเวลาแห่งความรู้สึกทุกข์ทรมานใจเช่นกัน มิใช่ว่าจะไม่รู้สึกรู้สา แต่ความต่างจากปุถุชนนั้นก็คือไม่ว่ากรรมจะสนองผลให้ทุกข์เพียงใด แต่ก็จะยืนหยัดขึ้นมาได้จะวางลงได้อย่างเด็ดขาด ตรงกับคำสอนในหลักสติปัฏฐานสี่สูตรว่า “ถอนความพอใจ และไม่พอใจออกเสียได้”

คำสอนนี้ ไม่ได้หมายความว่า เมื่อบรรลุอรหันต์แล้วจะไม่มีความรู้สึก ยิ่งบรรลุจะยิ่งรู้สึกแบบชัดเจนที่เรียกว่ามี Clarity ฉันอาหาร รสชาติอร่อยก็รู้ ไม่อร่อยก็ชัด ดี ชั่ว มั่วหรือสีเทา ก็รู้แจ้งชัด เมื่อรู้หรือรู้สึกแล้ว ก็สามารถถอดถอนอารมณ์หรือความพอใจและไม่พอใจ หรือถอดถอนความรู้สึกที่เป็นสุข หรือทุกข์ออกไปได้ด้วยกำลังอุเบกขา คือไม่เกิดความติดใจลงไปนอนเนื่องในสังขาร เพราะจิตส่วนสังขารการปรุงแต่งนั้นถูกทำลายลงแล้วไม่มีคลังเก็บอารมณ์เหล่านั้นแล้ว ความรู้สึกใดๆ ที่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่สักพัก แล้วก็ดับไป เรียกว่า เป็นสังขารที่เหมือนกับรอยเกิดขึ้นบนผืนน้ำหรือผืนทราย ที่ไม่นานรอยนั้นก็หายไป

อีกทั้งกำ ลังจิตของพระอริยเจ้าขั้นสูงจะมีกระแสพระรัตนตรัยคอยโอบอุ้มไม่ให้จมดิ่งลงไปเช่นปุถุชน เพราะด้วยจิต ที่เป็นสมบัติของโลกุตระแล้ว โลกตุระย่อมส่งกระแสหรือพลังมา ประคองกำลังกายและกำลังจิตในทุกวิถีทาง เพื่อรักษาสมบัติ โลกุตระไว้ไม่ให้มัวหมอง ต่างจากจิตปุถุชนที่หากปล่อยตกต่ำแล้วก็มักดำดิ่ง ถูกดูดไปในทางมืดตลอดสาย

อย่าคิดว่าพอได้ความเป็นอริยบุคคลแล้วจะไม่ทุกข์ เป็น มนุษย์ก็ต้องทุกข์ทั้งนั้น แต่เซยังไงสุดท้ายก็จะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยอุเบกขาธรรม คือ จิตที่ไม่หวั่นไหว

อาจารย์เคยมีประสบการณ์ได้เห็นพลังการโอบอุ้มของคุณพระศรีรัตนตรัย ในวันที่รู้สึกว่าทุกข์พุ่งมาถาโถม วันนั้นรู้ว่า หากไม่รอดครานี้ กำลังใจคงล้มระเนระนาด ไม่สามารถฟื้นกำลังใจขึ้นมาทำสิ่งอื่นๆ ได้อีกพักใหญ่ เมื่อได้อธิษฐานถึงบุญ บารมีที่บำเพ็ญมา และอธิษฐานถึงรัตนบารมีให้ช่วยให้ผ่านเรื่อง ร้ายที่ประสบซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ ในเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ก็ได้เห็น พระพุทธรูปที่ใหญ่มากปรากฏเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นในจิต และตามด้วยร่มที่กางมาปกป้องคุ้มภัยให้…จากนั้นมา สถานการณ์ที่ย่ำแย่ก็พลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ

เห็นดังนี้ก็ให้ซาบซึ้งใจในพระมหากรุณาธิคุณของพระบรมศาสดายิ่งนัก ประจักษ์แน่นยิ่งขึ้นไปอีกว่า ทุกคำสวดมนต์ ทุกคำอธิษฐาน หรือแม้แต่การร้องขอที่อ้างถึงบุญเดิมและขอพุทธบารมีเกื้อหนุน ไม่มีเลยที่เบื้องบนจะไม่ได้ยิน ยิ่งผู้อธิษฐานมีจิตบริสุทธิ์เชื่อมกระแสกับโลกุตรธรรมจนแนบแน่น ก็เหมือนกับการส่งเสียงผ่านลำโพงขนาดใหญ่ สะท้อนสะเทือนไปทั่วพิภพ จนพระบรมศาสดาและคุณพระศรีรัตนตรัยต้องส่งกำลังประคองให้

การกระโจนอยู่ท่ามกลางความมืดบอดที่หนาแน่นเหมือนแผ่นเหล็ก ผู้ที่มีปณิธานในการทำความดีอันทำได้ยาก ต้อง ประสบอุปสรรคอันใหญ่หลวง และหากกำลังถูกสมทบด้วยวิบากเก่า ก็ยากที่จะยืนอยู่ได้หากบารมีไม่เพียงพอ ดังนั้นผู้ใดที่ตั้งจิตอุทิศทำความดีเพื่อพระศาสนา จึงมักจะประสบเหตุหลายอย่าง ที่ทำให้รู้สึกท้อถอย อยากถอดใจ ผ่านด่านทดสอบไปไม่ได้ แต่หากหนักแน่นในปณิธาน ก็จะผ่านทั้งยังเกิดเป็นบารมีอีกด้วย

ทำไมคุณพระศรีรัตนตรัยไม่พุ่งมาโอบอุ้มเสียแต่ทีแรก ทำไมต้องรอให้จวนเจียนจะล้มแล้วจึงค่อยมา เกิดจากเหตุ 2 ประการ

ประการที่ 1 หากบุคคลกำลังเสวยวิบากกรรมเก่าอยู่ ก็ต้องให้เขาใช้กรรมนั้นก่อนพอประมาณ ผู้ประสบวิบากก็ต้องได้รับความทุกข์ให้สมควรแก่เหตุที่ทำผู้อื่นไว้ก่อน จึงจะเรียกว่าเสวยกรรม การไปแทรกแซงกรรมไม่ให้เขาต้องระคายเคืองอะไรเลย เป็นการกระทำที่ไม่ยุติธรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร และต่อธรรมะอันเป็นธรรมชาติที่บุคคลหว่านเมล็ดพันธุ์ใดไว้ต้องได้รับผลเช่นนั้น

ประการที่ 2 บางครั้งแม้กรรมไม่หนักมาก แต่ก็ต้องให้บุคคลผ่านบททดสอบให้ได้ เป็นการทดสอบกำลังใจเพื่อให้เกิด บารมี หากประสบปัญหาเพียงน้อยแล้วรีบโอบอุ้ม ก็ไม่มีทางที่จะได้สร้างบารมี

หากเป็นผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน กรรมจะสลายเร็ว และน้ำหนักกรรมจะเบาลงไปมาก โดยเฉพาะการปฏิบัติวิปัสสนาเผากิเลส เป็นการเผาสังขารและเผาบาปที่ฝังมากับกับสังขารด้วย จึงทำให้วิบากบางลงในระดับที่รับมือได้

ยามใดที่กำลังเสวยกุศลกรรมอยู่ อย่าเหลิง อย่าคิดว่าชีวิต จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป เพราะถึงเวลากุศลกรรมอ่อนแรง พอ วิบากเสวยจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับวันเก่าๆ ที่เคยสุขสบาย สำหรับพระอริยเจ้าที่มีอภิญญา เวลากรรมมาเสวย จะรู้ได้ด้วยจิตว่า เกิดจากการกระทำอันใดไว้ ดังกรรมของหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท พระอรหันตเจ้าผู้ที่อาจารย์นับถือท่านเป็นอาจารย์สมาธิรูปแรก หลวงปู่เล่าถึงสาเหตุที่ต้องได้ทำการผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท นอนแกร่วเป็นอัมพาตว่า

“ตอนเป็นหนุ่ม เราเลี้ยงหมูไว้แยะ ต้มข้าวเอาไปวางให้หมู หมามันมากินหมด โมโหจัด จึงเอาไม้คานเจ๊กตีหมาโป้ง เดียวจอดสลบ ด้วยความที่โกรธจัด แม้หมาตัวนั้นจะนอนแน่นิ่ง เหมือนตายแล้ว ก็คงเอาไม้คานตีอยู่อย่างนั้น ตีจนกระทั่งมันฟื้นขึ้นมาอีก ฟื้นขึ้นมาตีซ้ำลงอีกแบบทารุณไร้เมตตาธรรม คราวนี้หมามันชักตาย…เสร็จเลย กรรมอันนี้แหละเป็นกรรมในปัจจุบันชาติที่เราต้องชดใช้”

แม้แต่กรรมจากเรื่องในอดีตภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ติสสะ เป็นแผลเปื่อยพุพองรักษาไม่หาย พระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ไป ช่วยดูแลให้อาบน้ำอุ่น แสดงธรรมให้ฟัง พระติสสะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกับนิพพานในวันนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าที่เป็นแผลพุพองนั้นเพราะชาติก่อน พระติสสะเป็นพรานนก จับนกขายเป็นอาหาร ที่เหลือก็หักปีกหักขาไว้เพื่อไม่ให้มันบินหนี

ในยุคของการบุลล่ีด้วยวาจาที่ทำให้คนถูกด่าว่าล้มทั้งยืน กรรมที่จะเกิดแก่ผู้กระทำก็จะส่งผลให้คนทำล้มทั้งยืนเช่นกัน แต่จะล้มชนิดล้มหมอนนอนเสื่อ เป็นผู้ล้มเหลวและเป็นที่รังเกียจของสังคม ยิ่งบุคคลที่ไปบุลล่ีเป็นผู้มีธรรมสูงเท่าไหร่ ผลกรรมก็จะรุนแรงมากไปจนถึงตกนรก การส่งผลของกรรมจะทำให้รู้สึกสิ้นกำลังใจ นอกจากจะต้องตกนรกแล้ว ผลกรรมจะทำให้ในกาลต่อมาต้องป่วยนอนติดเตียงเป็นเวลานับเดือน จนรู้สึกสูญสิ้นทั้งกำลังกายและกำลังใจ จนกว่าวิบากจะบางลงแล้ว ก็จะกลับมาเป็นปกติ

สิ่งที่ก่อให้เกิดกรรมก็เพราะอุปกิเลส 16 ประการ ที่เมื่อครอบงำจิตใจผู้ใดแล้ว ก็ทำให้จิตใจเศร้าหมองและทำในสิ่งที่ตน ต้องมาเสียใจภายหลัง และต้องใช้วิบาก

อุปกิเลส ท่านแสดงไว้ 16 ประการคือ 1. ความเพ่งเล็ง อยากได้ไม่เลือกที่ 2. ความพยาบาท 3. ความโกรธ 4. ความผูก เจ็บใจ 5. ความลบหลู่บุญคุณ 6. ความตีเสมอ 7. ความริษยา 8. ความตระหนี่ 9. ความเจ้าเล่ห์ 10. ความโอ้อวด 11. ความ หัวดื้อถือรั้น 12. ความแข่งดี 13. ความถือตัว 14. ความดูหมิ่น 15. ความมัวเมา 16. ความประมาทเลินเล่อ

จะปุถุชน หรืออริยชน หากไม่รักษาใจให้พ้นจากอุปกิเลส16 ประการ เวลากรรมสนองผล ก็จะต้องพบกับความทุกข์ทรมานใจไม่มีประมาณ

มนุษย์นั้นช่างประมาทเหลือเกิน เราใช้ชีวิตตามแรงกิเลสตัณหา ปล่อยให้กิเลสครอบงำจนสะสมเชื้อไฟแห่งความทุกข์ให้ตนอย่างไม่มีจบสิ้น พระอริยเจ้ายังต้องใช้กรรม นับประสาอะไรกับปุถุชน ยิ่งหากเป็นสงฆ์ ก็จะต้องรับกรรมหนักกว่าปุถุชน เพราะแทนที่จะช่วยสืบพระศาสนา กลับทำให้คนเสื่อมศรัทธาในพระศาสนา กรรมอันนี้เป็นกรรมสมทบที่สาหัสสากรรจ์

ยิ่งมีผู้เคารพกราบไหว้มากเท่าไหร่ เมื่อความจริงปรากฏว่าเป็นผู้ทุศีล วิบากที่จะได้รับหาใช่แค่ระดับกรรมที่พึงเกิดกับปุถุชน น้ำหนักกรรมของพระทุศีล จะยกกำลังร้อยเท่าพันทวี ส่งผลให้ต้องไปหมกไหม้นับพันนับหมื่นปี เพราะเป็นการอาศัยประโยชน์จากผ้าเหลือง และนำมาสู่การตัดรอนอายุพระศาสนาจากการ ทำให้คนเสื่อมศรัทธา ในทางตรงกันข้าม หากเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สืบสานพระพุทธศาสนาให้คนมีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา อานิสงส์ผลบุญก็จะหนุนส่งเกิดเป็นบารมีให้ได้เข้าถึงมรรคผลนิพพานโดยเร็ว

ใครก็ตามที่ทำกรรมไว้ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุหรือฆราวาส ก็หนีไม่พ้นบ่วงกรรมทั้งสิ้น

ดังนี้ เราท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทในกรรมทั้งปวง

ดูเนื้อหาทั้งหมดโดยการสมัครสมาชิก หรือซื้อที่ Shopee