Skip to content Skip to footer

อาจารย์แพทย์หญิงสมิตา สีโท

จากบทเรียนชีวิตสู่ห้องผ่าตัด กับการค้นพบเครื่องช่วยชีวิต ที่ทรงพลังยิ่งกว่าสิ่งใด

อาจารย์แพทย์หญิงสมิตา สีโท

แพทย์เฉพาะทางสาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา

เป็นเรื่องปกติที่คนในแวดวงการแพทย์ โดยเฉพาะหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ฉุกเฉิน มักถูกมองว่ายอมรับและเข้าใจในความไม่แน่นอนได้ดีกว่าคนทั่วไป เพราะชีวิตคลุกคลีอยู่กับความเป็นความตาย แต่ในความเป็นจริงนั้น หาเป็นเช่นนั้นไม่ ดังคำกล่าวที่ว่า “สมองนั้นเข้าใจทุกอย่าง แต่หัวใจกลับไม่ยอมเข้าใจ”

อาจารย์แพทย์หญิงสมิตา สีโท อายุ 29 ปี อาจารย์แพทย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คือคนที่เข้าใจคำกล่าวนี้เป็นอย่างดี ในฐานะเป็นผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนามาตั้งแต่วัยรุ่น และผ่านการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างกะทันหันมาแล้ว คุณหมอสมิตาพบว่า เวลาเยียวยาได้เพียงระดับหนึ่ง แต่ความโศกเศร้าจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักนั้นไม่สามารถเยียวยาได้อย่างแท้จริง ถ้าไม่ได้มาจากการเข้าใจในระดับจิตวิญญาณ ซึ่งจะเข้าถึงได้จากการฝึกฝนจิตให้เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงเท่านั้น หาได้มีวิธี อื่นใดไม่

แรงบันดาลใจที่มาเป็นแพทย์

ที่จริง ตอนเด็กอยากเป็นดาราค่ะ (หัวเราะ) คือเป็นเด็กกิจกรรม ชอบทำกิจกรรม ได้เต้นได้ร่วมงานโรงเรียนตั้งแต่เด็ก ํ และก็ไม่ได้อยากเป็นหมอขนาดนั้น จนได้เจอเพื่อนคุณพ่อที่เป็น หมอ แล้วบอกว่าเป็นหมอมันดีอย่างโน้นอย่างนี้ ตอนนั้นเราไม่ได้ เป็นเด็กเรียนอะไร แต่พอมีแรงบันดาลใจ ก็อยากเรียนเก่งขึ้น ตอน นั้นรู้สึกว่าเรียนวิทยาศาสตร์ไม่รู้เรื่องเลย ภาษาอังกฤษก็ไม่เก่ง ก็ ไปเรียนพิเศษ แล้วพบว่า สายวิชาการเราก็ไปได้นะ จากนั้นเราก็ เปลี่ยนจากเด็กกิจกรรมเป็นเด็กเรียนเลย

พอตอนที่เลือกคณะ เห็นว่ามีหลายสาขาที่น่าสนใจค่ะ แต่ ว่าที่เลือกสาขานี้เพราะว่ามันมีการทำ งานที่หลากหลาย ก็คือเป็น สูติแพทย์ด้วย นรีเวชด้วย แล้วก็ได้ผ่าตัดด้วย ประเมินศักยภาพ ตัวเองแล้วคิดว่าสาขานี้เหมาะกับตัวเองที่สุด เพราะไม่หนักเกินไป ต้องบอกก่อนว่า เราเป็นนักศึกษาแพทย์ที่อยู่ในกลุ่มระดับกลางๆ ปัจจุบันนี้ทำ งานเป็นแพทย์มาได้ประมาณ 6 ปีแล้วค่ะ

ถ้าเช่นนั้นผลการเรียนระดับเทพไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นหมอมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคืออะไรคะ

สติค่ะ สติมาอันดับแรกเลย โดยเฉพาะถ้าเป็นหมอผ่าตัดด้วย

ทราบมาว่า คุณหมอได้ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังวัยรุ่น ตรงนี้เกี่ยวกันหรือไม่ และเริ่มต้นอย่างไรคะ

แรกเริ่มเลยคือมาจากคุณพ่อคุณแม่ ท่านเริ่มปฏิบัติธรรมก่อน เลยชวนเรามาด้วย ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าลองดู เราก็โอเค แม่ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ตอนนั้นอายุ 17 ปีค่ะ เริ่มมาครั้งแรกก็เป็นวิปัสสนากรรมฐานเลย

เป็นอย่างไรบ้างตอนนั้น

จำได้เลยว่าเข้าคอร์สพร้อมกับคุณพ่อ สถานที่นั่งฝึกคือเป็น เรือนเตี้ยๆ ไม่มีกำแพง ที่นอนเป็นช่องที่แบ่งกั้นด้วยไม้ไผ่ ทุกวันที่กลับเข้ามาจะเห็นตัวมอดตกลงมา นั่งๆ ปฏิบัติอยู่มดดำเดินมารอบตัว แล้วก็ร้อนมาก เพราะตอนนั้นสมัครไปเดือนเมษายน เป็นอะไรที่ลำบากมาก แต่ว่าไม่เสียใจที่ไปเลยนะ แค่รู้สึกว่าครั้งแรกมันยากเป็นปกติ ครั้งต่อไปมันจะต้องดีขึ้นแน่นอน

ครั้งแรกในชีวิตกับการปฏิบัติธรรมอย่างหนักเกือบทั้งวัน ห้ามพูดคุย มือถือเครื่องมือสื่อสารถูกยึด

รู้สึกเลยว่า เรารู้จักตัวเองมากขึ้น และยิ่งปฏิบัติภาวนา จิตใจก็เริ่มเปลี่ยนไปค่ะ รวมถึงการฟังธรรมะได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ มุมมองความคิดมันเปลี่ยนไป แต่ถ้าถามว่าคอร์สแรกมีความเปลี่ยนแปลงชนิดเห็นชัดเจนมั้ย ภาวนาดีมั้ย ไม่ใช่ เพราะรู้แต่ว่าอยากกลับบ้านอย่างเดียว (หัวเราะ)

รู้สึกว่ามันทรมานมากกับการอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ทุรนทุราย แต่ท่านอาจารย์ที่สอนวิปัสสนาก็สอนเราก่อนแล้วว่า มันคือกิเลสที่ทุรนทุราย ไม่ใช่เรา ดังนั้นต้องรู้เท่าทัน

การฝึกจิตตรงนี้มีประโยชน์ในชีวิตประจำวันอย่างไรคะ

ด้วยความที่เราไม่ใช่เด็กเรียนขนาดนั้น การเรียนหมอสำหรับเราเป็นอะไรที่ยากมาก มันไม่เหมือนสมัย ม.ปลาย ที่เนื้อหามันมีแค่นี้ แต่พอเป็นมหาวิทยาลัย ทุกอย่างมันหนักไปหมด เรียนหนักแล้วก็ยาก เอาแค่ปี 1 ถึงปี 3 เนี่ย เราก็เรียนเยอะมากกว่าคณะอื่น แล้วมีสอบตลอด ต้องอ่านหนังสือตลอด จิตตกบ่อยมาก

ทีนี้ ข้อดีของการนั่งวิปัสสนา คือ พอเราจิตตกปุ๊บ ก็ดึงจิต กลับมาได้เร็ว เพราะว่าเราเรียนรู้ว่าต้องวางจิตแบบไหน เห็นเลย ว่าช่วยได้มากจริงๆ ปี 4 ถึงปี 6 ยิ่งเรียนยากขึ้นไปอีก เพราะมันไม่ใช่แค่นั่งเรียนแล้วก็สอบอย่างเดียวแล้ว มันต้องทำงานด้วย ต้อง ํ อยู่เวรด้วย ขึ้นวอร์ดรักษาคนไข้จริงๆ แล้ว เจอแรงปะทะทั้งจากเพื่อนร่วมงาน ทั้งจากอาจารย์ คนไข้ ญาติคนไข้ ทุกอย่างมันมาหมด บวกกับการที่เราอดหลับอดนอนด้วย โอ้โฮ ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอก็ล้มเลิกแน่ จริงๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่นักศึกษามักยอมแพ้ไปคณะอื่น เพราะไปต่อไม่ไหวค่ะ พลังสมองไม่ใช่ปัญหานะคะ เรียนได้ เรียนเข้าใจ แต่ร่างกายมันเหนื่อยมาก พลังใจก็แทบหมดอยู่แล้ว มันเลยกระทบต่อกันเป็นลูกโซ่

ดูเนื้อหาทั้งหมดโดยการสมัครสมาชิก หรือซื้อที่ Shopee