
การเกิดในภพภูมิต่างๆ เป็นเรื่องของการถูกดึงดูดด้วยกระแสพลังงานและ คลื่นความถี่จิตดวงสุดท้ายก่อนจะตายจะเป็นจิตดวงแรกที่พาไปเกิดในภพภูมิใหม่หากจิตดวงสุดท้ายแสดงคุณลักษณะใดออกมา หรือมีคลื่นความถี่ไปพ้อง กับพลังงานชนิดไหน ต้องถูกดึงดูดไปด้วยคลื่นพลังงานที่มีความถี่ชนิดเดียวกัน ตามกฎฟิสิกส์หรือคลื่นพลังงาน
หากจิตดวงสุดท้ายขณะจะตายเป็นจิตที่ทุรนทุรายด้วยความอาฆาตแค้นหรือ หวงแหนสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาก กระแสกิเลสที่ฝังอยู่ในจิตและนำาหน้าออกมาก็จะทำาให้ จิตถูกดึงดูดเข้าไปอยู่กับลักษณะจิตแบบเดียวกัน คือกลุ่มสัตว์เดรัจฉาน เช่น งู หรือสุนัขดุร้าย การไปเกิดในอบายภูมิไม่ใช่เกิดจากอำานาจการสั่งการของใคร แต่เกิดจากแรงดึงดูดของคลื่นพลังงานที่ทำาให้จิตไปมีสังขารใหม่หรือร่างใหม่ ตามคุณลักษณะจิตที่เคลื่อนย้ายภพภูมิ
จิตที่ทำอนันตริยกรรมคือกรรมหนักสาหัส ได้แก่ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำสงฆ์ให้แตกแยก และทำพระพุทธเจ้าให้ห้อเลือด ด้วยลักษณะกรรมที่ทำไปก่อให้เกิดสังขารการปรุงแต่งที่เป็นอกุศลกรรมหนัก ทำให้พลังงานจิต มีน้ำหนักที่ “หนักมาก” เมื่อจิตเคลื่อนตัวออกจากกายสังขาร ก็ถูกดึงดูดให้ไปรวมอยู่กับพลังงานที่มีคลื่นความถี่แบบเดียวกัน ทำให้จิตดิ่งลงไปสู่ขุมนรกที่ลึกที่สุดที่รู้จักกันในนามว่าอเวจีในทันที โดยไม่ต้องให้ใครตัดสินความ
การไปจุติในสวรรค์ก็เช่นกัน ขึ้นอยู่กับกระแสจิตมีความเบาในการลอยขึ้นไปสู่ข่ายกระแสพลังงานชั้นไหน และบำเพ็ญ บารมีมามากน้อยเพียงใด หากจิตบำเพ็ญชำาระกิเลสบางเบา แต่ยังไม่ถึงขั้นหลุดพ้น น้ำาหนักจิตที่เบาก็จะพาให้ขึ้นไปสู่ภูมิ สวรรค์ชั้นที่สูงยิ่งขึ้น และบารมีจะมากน้อยขนาดไหนก็ขึ้นอยู่ กับคลื่นความถี่ในจิตที่ได้เชื่อมโยงกระแสอื่นๆไว้เพียงไหน เช่น หากเป็นผู้ประกอบกุศลทานและแผ่เมตตาด้วยจิตที่น้อมอยู่ เป็นนิตย์ ไม่ใช่แค่ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองด้วยคำบาลีว่า สัพเพสัตตา หากท่องไปแต่จิตไม่มีคลื่นแห่งความเย็นและ เมตตาออกไปเลย ก็ไม่เกิดการเชื่อมกระแส การมีบริวาร มากน้อยเพียงใดของเทพแต่ละองค์ขึ้นอยู่กับพลังเมตตาเป็น สำาคัญ ความหนา หยาบ ความวิจิตรบรรจงของเครื่องทรง ใดๆ ขึ้นอยู่กับศรัทธาเป็นสำาคัญ เช่น เวลาทำทาน มีจิต ศรัทธาและมีความประณีตในไทยทาน ก็ทำให้กายทิพย์มีความ วิจิตรมาก การหมดอายุขัยของเทพจะมีสัญญาณบอกให้รู้ โดย ผิวพรรณกายทิพย์จะหมองลง และบริวารจะหายไปเรื่อยๆ
สำหรับผู้ที่ไปจุติเป็นเทพชั้นพรหมก็เกิดจากในนาทีก่อนจะ ตายกำหนดจิตเป็นสมาธิ เกิดเป็นพลังฌานคือตายในขณะจิต เข้าฌาน มีความสงบนิ่งอยู่ จิตก็จุติไปยังคลื่นพลังงานที่มี ความสงบ ไม่พลุกพล่านอึกทึก คือไปเป็นเทพชั้นพรหม เวลาของสรรค์ชั้นนี้มีเวลานานมาก บางรูปติดอยู่เป็นหมื่นๆ ปี จนคิดว่าตนบรรลุธรรม ต่อเมื่อถูกกระทบจึงรู้ว่ายังมีราคะและ ปฏิฆะที่ตนกดทับนอนเนื่องอยู่ เมื่อจิตยังมีกิเลสอยู่ แม้จะ จุติไปยังพรหมโลก เมื่ออานุภาพแห่งบุญนี้หมดลง กิเลสที่ นอนเนื่องอยู่ก็แสดงตัว ทำาให้จากพรหมก็ลงมาเกิดเป็นสัตว์ได้ เช่น เรื่องของพระสุมนาเถรีที่มีอดีตชาติเป็นพระนางอุพพรี ได้ตายในขณะได้ฌาน 1 แล้วไปเกิดเป็นพรหม หมดอายุขัย แล้วลงมาเกิดเป็นลูกสุกร
สำาหรับผู้ที่ตายแล้วมาจุติในภูมิมนุษย์ทันที มักเป็นผู้ที่มีจิต อาลัยห่วงใยในบุคคลหรือสิ่งของที่ยึดมั่นไว้ และกระแสจิตดวง สุดท้ายสามารถประคองสติสัมปชัญญะไว้ในระดับกลางๆ จึง ถูกโน้มด้วยคลื่นจิตให้จุติมาอยู่ในภูมิมนุษย์โลก แต่ก่อนจะจุติ มาได้ จิตวิญญาณก็ต้องรอคอยเวลาให้ผู้ที่มีกรรมพัวพันต่อกัน มีความสัมพันธ์ทางกายแล้ว เมื่อดวงจิตนี้จดจ่อเฝ้ารอเวลาการ มาเกิด ก็จะถูกดึงดูดด้วยคลื่นความถี่นั้นให้ไปอยู่ในครรภ์ของ สตรี หาใช่จะไปเกิดในครรภ์ของผู้ใดก็ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีกระแส คลื่นความถี่ชนิดเดียวกัน หรือเปิดช่องมีสัญญาณที่เคยเชื่อมหรือ connect กันไว้แต่อดีต
การฝึกดำรงสติสัมปชัญญะให้มั่นจึงมีความสำคัญมาก ในนาทีก่อนจะตาย เพราะเป็นจิตดวงแรกที่จะไปเกิดในภพภูมิ ต่อไป สภาวะจิตก่อนจะตาย ธาตุไฟในร่างกายจะดับวูบ ทำาให้ระบบกลไกการทำงานใดๆ ไม่ทำงาน และลมหายใจจะผ่อนออกไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสัญญาณของการจุติไปในภพภูมิที่ดี แต่หากลมหายใจหมดไปโดยไวในลักษณะเหมือนถูกกระชาก ให้อนุมานได้เลยว่าเป็นการตกไปสู่อบายภูมิ เพราะคลื่นจิต ดวงสุดท้ายมีน้ำหนัก “หนัก” ก็ถูกคลื่นความถี่ลักษณะเดียวกัน มาจูนและกระชากจิตดวงนี้ลงไปสู่เบื้องล่าง
จิตที่จะไปอย่างสุคติจะค่อยๆ ผ่อนออกไปช้าๆ ส่วนจิต ของผู้ที่บรรลุธรรมก็จะไปแบบบางเบา ไม่รู้สึกว่ามีการผ่อน เพราะจิตอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก พ้นจากกระแสต้านหรือแรง เสียดทานใดๆ เป็นจิตที่หลุดพ้นจากร่างไปเลย
จิตอาลัย คือ จิตที่ถูกดึงดูดด้วยสนามแม่เหล็กที่มี อานุภาพสูง
ในช่วงที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสช่วยเหลือศิษย์วัยหนุ่มที่ตายก่อน อายุขัย ไม่ให้จิตเข้าไปปะปนกับโอปปาติกะเร่ร่อน คือต้องหาที่ ให้จิตผู้ตายได้มีที่อยู่อาศัย เพราะจิตที่ตายก่อนอายุขัยจะไปเกิด ตามบุพกรรมไม่ได้ ต้องติดอยู่ในภูมิมนุษย์ในแบบของวิญญาณ ที่ไม่มีสังขารให้อาศัย เพราะร่างกายหมดสภาพแล้ว ก็จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่เราเรียกว่า โอปปาติกะ ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือวิญญาณให้มีที่อาศัย และประคองจิตไม่ให้ตระหนกเพราะ เหมือนคนโดดเดี่ยวอยู่ในโลกมืดที่ตนไม่ตั้งตัวและไม่คุ้นเคย ทั้งยังต้องประสบกับทุกขเวทนาจากการจากพรากอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อข้าพเจ้ากำหนดอนุญาตให้จิตมีที่อาศัย ก็ใช้การแผ่เมตตาประคองและได้สื่อสารกันพอสมควร จิตของศิษย์บอกว่า ในเวลาหนึ่งทุ่มจะมีกระแสพลังงานที่มีพลังมากคอยจะดึงดูดจิตของเขาออกไปจากที่อยู่อาศัย จนเขาแทบไม่อาจต้านทานพลังนั้นได้ ข้าพเจ้าได้สอนวิญญาณไปว่า ห้ามไม่ให้จิตออกไปเด็ดขาด อาจเป็นอันตราย โดนโอปปาติกะที่อยู่มาก่อนทำร้าย ได้ ให้กำหนดท่องพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ไปเรื่อยๆ จนกว่า กระแสนั้นจะเบาบางลง กระแสที่ว่านั้นมาจากการรวมตัวของ ญาติพี่น้องที่มาร่วมงานสวดพระอภิธรรม แล้วต่างก็ร้องไห้ คร่ำครวญต่อการจากไปของผู้ตาย คลื่นจิตที่เป็นกระแส คร่ำครวญนี้เองที่เป็นดั่งคลื่นแม่เหล็กมาดึงดูดจิตของศิษย์ ออกไปจากที่ตั้ง เพราะเป็นเรื่องของกระแสพลังงาน
บุคคลที่ฝึกจิตให้ลดละกิเลสได้แล้ว ในนาทีสุดท้ายก่อน จะตาย หากจิตมีกิเลสบางเบา และสามารถตัดอาลัยได้ขาด โอกาสที่จิตจะลอยสูงขึ้นไปกว่าภูมิธรรมที่เกิดในตนในขณะที่ยัง มีชีวิตอยู่มีสูงมาก พระพุทธองค์ทรงสอนว่า มนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความอาลัยในชีวิต อาลัยในความสุขและความทุกข์ แล้ว สิ่งนี้นี่แหละคือกระแสที่มัดจิตสรรพสัตว์ไว้ในภพ
หากเราเข้าใจว่ากายนี้เป็นเพียงตัวเชื่อมพลังงาน ฝึกวาง จิตไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ เมื่อฝึกอยู่เสมอ การตัดอาลัย จึงจะเกิดขึ้นได้ การเข้าใจเรื่องสนามพลังงานจะทำาให้เรารู้จัก กันตัวเองไปจากคลื่นความถี่ที่นำาไปสู่ผลที่เป็นอกุศล เช่น การไม่ไปอยู่ในที่อโคจร การไม่คบคนชั่วเป็นมิตร และทำาให้ มีความเข้าใจเรื่องมิติต่างๆ ในแบบที่ไม่มีความงมงายหรือหา เหตุผลไม่ได้
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 53 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่