
อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล
เป็นคำถามง่ายๆ ที่คนอยากรู้อยู่เสมอ
คำตอบที่คนส่วนใหญ่มักคิดแบบรวบความก็คือ
“ไปสวรรค์หรือนรก แล้วแต่กรรมดีกรรมชั่วที่ทำไว้”
ซึ่งในความเป็นจริง มีรายละเอียดปลีกย่อย ที่กว่าจะไปถึงสวรรค์หรือลงนรกนั้น ก็มีหลักวิธีที่ควรรู้ไว้โดยความสำคัญอันดับแรกคือ
จิตดวงสุดท้ายก่อนที่จะตาย จะเป็นจิตดวงแรกที่พาไปเกิด
หมายถึง ผู้ตาย ตายด้วยจิตลักษณะใด ณ ขณะจิตนั้น จะเป็นดวงจิตที่พาไปเกิดในภพภูมิใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ทำกรรมดีมามาก แต่เคยมีกรรมชั่วติดค้างใจ นึกขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เสียใจ เสียวสันหลัง หรือมีความหวาดกลัวผลกรรมที่จะตามสนอง พอถึงเวลาใกล้จะตาย จิตจะอ่อนแรงเหมือนคนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนหากกรรมที่เคยทำไว้หรือสิ่งที่ติดค้างใจมีพลังแรง จิตสังขารนั้นก็สามารถแทรกทะลุกรรมดีใดๆ ให้พุ่งนำหน้ามาส่งผลก่อน จึงสามารถทำให้กลายเป็นคนที่แม้ทำดีมาพอควร แต่กลับจุติในอบายภูมิก่อนได้
ดังนั้น การประคองจิตดวงสุดท้ายก่อนจะตาย ให้นึกถึงแต่สิ่งดีๆ และสูงๆ เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และสูงสุดคือนิพพาน จะทำให้ผู้ใกล้ตายได้มีโอกาสจุติในที่สูงก่อนในช่วงสั้นๆเมื่อหมดอายุขัยแล้ว ก็ไปเสวยกรรมวิบากต่อไป
การจะคิดว่า พอถึงเวลาใกล้จะตาย จะเล็งจิตให้คิดถึงพุทโธหรือพระอรหันต์ไว้ให้ได้ นั่นเป็นความไม่รู้แท้และประมาท เพราะจิตที่มีกรรมหรือมีเหตุติดค้างใจรุนแรง เช่น ความพยาบาท จิตประเภทนี้มีพลังมาก พอถึงเวลาจิตอ่อนใกล้หมดลม พลังพยาบาทก็จะอาละวาด พุ่งทะลุกำแพงสังขารออกมาก่อนคนอื่นๆเพราะแรงมากกว่าคนอื่น พอพุ่งมาเสียแล้วก็หมดสิทธิ์คิดถึงพุทโธ
เพราะจิตขาดกำลังต้าน พอเวลาสังขารนั้นมา จะโถมมาเป็นพายุ คนมีจิตพยาบาทสูงจึงไปเกิดในอบายภูมิ เช่น จุติทันทีเป็นเปรตหรืออสูรกาย หรือไม่ก็ถูกดูดลงไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานทันที เช่น งู จระเข้ สุนัขที่ดุร้าย เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ จิตที่พุ่งออกมาคือกิเลสดุร้ายที่มีกระแสไปพ้องกับจิตสัตว์เหล่านี้ พอจิตสังขารถูกกระแสเหล่านี้พุ่งนำหน้าไป ก็จะถูกดูดให้ไปเข้าหากระแสพลังงานที่มีคลื่นเดียวกัน ทำให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้โดยง่าย
ส่วนคนที่มีจิตเหล่านี้บางเบา และทำความดีมาพอตัว หากนึกถึงพระรัตนตรัยก่อนตายได้ ก็จะจุติในภูมิสวรรค์ได้ทันทีเช่นกัน เช่น ไปจุติภูมิเทวดาได้ตามกำลังจิต และด้วยฐานบุญที่สร้างมา เมื่อหมดอายุขัยจากตรงนั้นแล้วก็จะไปจุติที่ศูนย์รวมกรรมเพื่อไปรับใช้บาป หรือไม่ก็ไปจุติเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์แล้วแต่กำลังกรรมของตน ผู้ที่มีกรรมดีมาพอตัว แต่หากเวลาใกล้ตายแล้วไม่สามารถน้อมจิตคิดถึงกรรมดีได้ เพราะเกิดตายแบบฉับพลันไม่ทันตั้งหลัก กระแสจิตก็จะพัดลงไปที่โลกวิญญาณ ให้มาถึงทางแยกที่จะตัดสินว่า จะไปสู่นรกหรือสวรรค์…. นี่หมายถึงเฉพาะผู้ที่ตายตามอายุขัย แต่ผู้ที่ตายก่อนอายุขัย ก็อีกแบบหนึ่งเรียกว่า เรื่องตายแล้วไปไหนมีความสลับซับซ้อนมาก
แบบที่หนึ่ง หากเป็นคนที่ทำทั้งความดีและความชั่วพอๆกัน เป็นความดีแบบพื้นๆ ไม่ได้ตั้งใจดีจริงๆ จังๆ เช่น ทำบุญตักบาตร ทำสังฆทาน แต่ไม่ประกอบสัมมาอาชีวะ เช่น ทำอาชีพออกเงินกู้ ขูดเลือดเนื้อเพื่อนมนุษย์ ฆ่าสัตว์แบบไร้ความปรานีเห็นชีวิตคนอื่นเป็นของเล่น ทำผิดศีล เป็นชู้กับคนอื่น คดโกงได้เสมอแม้จะเล็กๆ น้อยๆ เช่น โกงน้ำหนักตาชั่ง โกหกเอาตัวรอดเป็นนิจจนติดปาก ผู้ที่ทำผิดศีลเสมอ และทำดีแบบหวังผล ไม่เคยลงแรงอะไรจริงจัง ศรัทธาไม่มี มีแต่ลงทุนอย่างเดียว พอตายไปแล้ว จิตออกจากร่าง ก็จะไปจุติที่ศูนย์รวมกรรม คือไปแออัดรอการพิพากษากรรมอยู่ที่โลกวิญญาณ เขาวางอาณาเขตไว้ให้ คนไหนที่มีกรรมเด่นมาก ตัวก็จะหนาและน่ารังเกียจ ซึ่งนายนิรยบาล หรือผู้คุมวิญญาณยังไม่แน่ใจว่าจะส่งไปสายไหนก่อน คือสายนรกหรือสายสวรรค์ ก็ให้ไปรอการพิพากษาจากยมบาล ส่วนคนไหนที่มีบุญเด่นกว่า จิตจะผ่องใสกว่า ก็จะเดินไปสู่สายทางแยกที่ไปสวรรค์ ซึ่งไม่ใช่ลอยขึ้นไปทันที แต่ต้องถูกชี้ทางหรือพาเดินไปสู่ทางแยกก่อน แล้วจึงขึ้นไปด้วยพาหนะอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นอาจเป็นเรือ เป็นต้น
จิตลักษณะนี้ จะได้แค่ภพภูมิเทวโลกเท่านั้น ไม่สูงถึงขั้นพรหมโลก
ส่วนผู้ที่ต้องไปเข้าคิวถูกพิพากษากรรม พอไปถึงช่วงนั้นยมบาลซึ่งมีบัญชีบุญบาปปรากฏอยู่แล้ว ก็จะไล่เรียงถาม ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าวิญญาณนี้ทำาอะไรมาบ้าง ที่ถามก็เพื่อจะดูซิว่า ได้สำนึกผิดบ้างหรือเปล่า ได้เอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาหากินหรือได้น้อมใจปฏิบัติธรรมของพระองค์บ้างหรือไม่ ที่ถามก็เพื่อจะดูว่า ขนาดนั่งอยู่หน้ายมบาลแล้วนี่ วิญญาณนี้มีจิตสำนึกขึ้นมาบ้างมั้ย ท่านไม่ได้จะถามเพื่อจะไล่ให้จนมุม แต่จะถามเพื่อเปิดทางให้มีทางออกให้ได้ลดหย่อนผ่อนโทษให้บ้าง เวลาซักถามก็ถามแบบทนายความนั่นแหละ แต่จะอ่อนโยนหรือดุดัน ก็แล้วแต่กรรมที่คนคนนั้นทำมา คือ หากกรรมที่ทำมาเลวทรามมากเช่น ลบหลู่พระบรมศาสดา เอาพระเศียรไปค้าขาย ไปทำเป็นกระถางต้นไม้ ไปเป็นของตกแต่งให้คนวางในสวนหรือในห้องน้ำ พญายมผู้ยังมีกิเลส ก็ไม่อาจระงับความคับข้องใจเช่นกัน ท่านก็มิอาจจะพูดอ่อนโยนได้ ท่านก็อยากจะระบายความอึดอัดใจเช่นกัน คือ แทนที่จะรีบส่งลงไปนรกขุมหนักทันที ท่านจะถามว่า
“เจ้าไม่รู้หรือว่า พระพุทธเจ้านี่คือใคร เจ้าไม่มีสำนึกเลยหรือว่า สิ่งที่เจ้าทำมันชั่วช้าสามานย์ขนาดไหน ก่อนนอนเจ้าขอพระพุทธเจ้าไม่ใช่หรือ แต่เจ้าทำกับสัญลักษณ์ของพระองค์ได้อย่างไร….” ที่ท่านพูดทั้งหมดนี้ ไม่ได้ต้องการคำตอบเลย แต่ถามเพราะอยากให้วิญญาณได้รู้สำนึกก่อนจะถูกส่งไปเผา ว่าแล้วก็ตัดสินโครม ลงไปนรกขุมหนักสถานเดียว จะกี่ร้อยกี่พันปี หมดสิทธิ์อุทธรณ์
แต่หากคนผู้นั้นไปฆ่าคนตายเพราะทนแรงแค้นที่ถูกกดดันไม่ได้ ยมบาลก็จะเกิดจิตเมตตา เพราะรู้ว่าเกิดจากจิตจองเวรตามอำนาจกรรม ท่านก็จะไล่เลียงแบบจิตเมตตา เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้สำนึกผิด จะได้มีช่องลดหย่อนโทษให้ได้
ทีนี้ วิญญาณบางประเภทที่ตายแบบไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้มีลูกหลานมาสอนให้ปลงอนิจจัง มาเปิดเทปธรรมให้ใจน้อมก่อนตายว่า วาระสุดท้ายของเรามาถึงแล้ว บางคนที่หากมีเวลาอยู่บ้างได้มารับการอบรมใจในนาทีท้ายๆ ก็อาจจะมีสำนึกผิดก่อนตายพอไปถูกพิพากษาเข้าก็เกิดจิตสำนึกผิดขึ้นมา ก็น้อมใจขอโทษยมบาลก็จะเปิดโอกาสให้พรรณนาถึงความดีที่ได้ทำมา เพื่อท่านจะได้ลดโทษให้ นี่จึงว่า พญายมท่านจิตใจดีมีเมตตาจริงๆ แต่พวกตายฉับพลัน เช่น ตายจากอุบัติเหตุแบบไม่ทันตั้งตัว หรือ ป่วยหัวใจวายตาย จิตไม่เคยอบรมบ่มเพาะธรรมไว้เลย พอไปถูกพิพากษา จิตก็ยังมีติดเถียง ติดโกหก ไม่ยอมรับการกระทำของตนยังคิดว่าตนเป็นมหาเศรษฐี เป็นผู้มีอำนาจเหมือนตอนอยู่บนโลกพอไม่ยอมรับเท่านั้นเอง การกระทำใดที่ฝังอยู่ในสังขาร ยมบาลเขาเรียกมาฉายให้เห็นเป็นฉากๆ ได้เลย เพราะจิตเป็นกระแสพลังงาน ฝังอยู่ในรหัสสังขาร ลองไปบอกว่า
“ไม่ได้ทำใช่มั้ย แล้วนั่นใคร ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า”
วิญญาณก็เถียงไม่ออก คิดไม่ถึง เพราะไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนาที่เพ่งดูจิตเผากิเลส เลยไม่รู้ว่า จิตของตนนั่นแหละคือผู้บันทึกกรรมของตนทั้งสิ้น พอภาวนาไป มันก็เห็นตัวเองตอนเด็กๆ บ้างตอนไปทำบาปบ้าง ตอนไปสั่งลงโทษคนอื่นอย่างเหี้ยมโหดบ้างบางคนเห็นขนาดตั้งแต่เกิด และย้อนไปถึงอดีตชาติได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะเจาะลงไปในจิตสังขารจึงได้เห็นชีวิตของตนเอง ส่วนคนที่ไม่เคยปฏิบัติมา ก็ใช้นิสัยแถ และเถียงแบบโลกๆ โดยยังไม่น้อมยอมรับผิด ยมบาลก็ตัดสินไปตามหน้าที่ด้วยความยุติธรรมก็ส่งไปลงนรกขุมหนึ่งใน 8 ขุมที่ยังมีแตกย่อยเป็นขุมเล็กขุมน้อยซึ่งปรากฏขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งกรรมและกฎของโลกวิญญาณ
เป็นเช่นนี้แหละ ผู้ที่ชอบเดินสายทำบุญ 9 วัด แต่ไม่หยุดทำบาป อย่าคิดว่าจะได้ก้าวขึ้นข้างบน ก้าวลงนรกก็มีมากเพราะไปวัดแต่ไม่เคยถึงวัด ไปวัดเพื่อไปหาที่เที่ยวและที่หลบภัยชั่วขณะ จะได้กลับมาทำบาปและมัวเมาต่อไป ท่านจึงว่า หลอกใครก็ได้ แต่หลอกตนเองไม่ได้ เพราะตนนั่นแหละ คือผู้บันทึกกรรมชั้นยอด
เมื่ออ่านแล้ว สิ่งที่ควรต้องทำคือ ยอมรับความจริงจากในจิตว่า ตนติดกรรมอะไรไว้บ้าง และลองพรรณนาคุณงามความดีของตนด้วยว่า ทำความดีอะไรไว้บ้าง เผื่อหากตายไปต้องจัดอยู่ในกลุ่มนี้ เวลาถูกพิพากษาจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ทางที่ดีเร่งหยุดทำบาปดีที่สุด และพิจารณาตนเถิดว่า ได้ทำความดีสมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรือยัง ….และโปรดอย่าคิดเข้าข้างตนเองว่าตายแล้วสูญ จิตนั้นเป็นกระแสพลังงาน ไม่มีคำว่าสูญ มีแต่แปรจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งเท่านั้น ผู้ที่คิดว่าตายแล้วสูญ จัดอยู่ในประเภทมิจฉาทิฏฐิ ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน
มันเป็นเช่นนี้แหละ
—
ดูเนื้อหาทั้งหมดโดยการสมัครสมาชิก หรือซื้อที่ Shopee
