
อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล
ในช่วงการย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ จิตอาจารย์คิดถึงคำา 3 คำานี้ พักนะ… พอนะ… เริ่มต้นใหม่นะ…
คำว่าพักนะ…เป็นคำที่มีกระแสของความเมตตาต่อตนเอง และผู้อื่น ให้เราได้พักร่างกายและจิตใจ และยังเป็นคำที่เปิด โอกาสให้ได้มอบความสุข ความเบิกบาน ให้แก่กันและกัน พอนะ…เป็นคำที่เตือนให้เราหยุดความทะยานอยาก ให้หันมา ยอมรับในสิ่งที่มี ที่เป็น เริ่มต้นใหม่นะ…เป็นคาที่เตือนให้ ทบทวนชีวิตที่ผ่านมาทั้งปี เพื่อแก้ไขแล้วเริ่มต้นใหม่ รวมถึง อาจทำสิ่งใหม่ๆที่มีคุณค่า หากไม่มีช่วงเวลาสมมติเช่นนี้ เรา คงเหนื่อยมากกับการถูกลากไปลากมาในทะเลชีวิต อาจารย์ ได้ทบทวนเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตเช่นกัน แต่เหตุการณ์แรกที่ เข้ามาสู่จิตคือ เรื่องเกี่ยวกับบ้านเมือง จิตไปนึกถึงช่วงเวลาที่ มีการเผาบ้านเมืองเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว คือในปี 2553 บ้าน เมืองเหมือนลุกเป็นไฟ แล้วมาสู่เหตุการณ์ประท้วงปิดสนามบิน ตามมาด้วยการชุมนุมประท้วงใหญ่หลายครั้ง จนกลางเมือง กลายเป็นป้อมค่าย เรื่องราวผ่านมาเรื่อยๆโดยมี ตัวเราเป็น หนึ่งในผู้รับรู้อยู่ในเหตุการณ์และรับผลนั้นทุกอย่าง มาจนถึงปีที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคตในปี 2559 เป็นปีที่น้ำตานอง Image: unsplash.com แผ่นดิน เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากแผ่นดินสีหม่น สู่ฟ้าเปลี่ยนสี เรื่องราวต่างๆยังคงดำเนิน ต่อไปและต่อไปอย่างไม่จบสิ้น คนในเหตุการณ์ต่างๆที่กล่าวมา ประสบชะตาชีวิตไปตามที่ได้ก่อกรรมเอาไว้ ติดคุกบ้าง หนีหาย ไปบ้าง ผู้ที่เคยได้มีอำนาจวาสนาก็หมดอำนาจ บางคนน่าจดจำ บางคนถูกสาปส่ง เรื่องราวที่ผันผ่านมาเหมือนกลหมากของชีวิต ที่หากเล่นผิดที่ เข้าผิดฝั่ง ชีวิตก็พังทลาย
มนุษย์ตกเป็นเหยื่อหมากในกระดานชีวิตของตัวเองแล้ว ยังถูกซ้อนหมากในกระดานของการเมือง เศรษฐกิจ และความ เป็นไปของโลก กลายเป็นเกมซ้อนเกม ชีวิตของตนก็ส่วนหนึ่ง แล้วก็ยังเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนอื่นๆที่ไม่เคยรู้จัก เป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ เช่น ผู้ที่เข้าไปคอมเมนต์ร้ายๆหรือ บูลลี่ในเรื่องราวที่ถูกโพสต์ทางโซเชียลมีเดีย ทำให้ก่อกรรมใน เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง กลายเป็นเกมชีวิตซ้อนชีวิต
นี่คือเรื่องของโลก แล้วเรื่องของเราเองล่ะ เราผ่านอะไร มาบ้าง การได้เรียนรู้นับว่าสำคัญแล้ว แต่สิ่งสำคัญไม่น้อย ไปกว่าคือ การที่จิตได้สะสมบุญและบาปไว้ต่อสิ่งที่ได้ “กระทำ ลงไปแล้ว” บุญและบาปสำเร็จแล้ว เรียกคืนไม่ได้ ย้อนไปแก้ไขไม่ได้ หากทำดีก็ดีไป หากทำไม่ดีก็ย่อมมีวิบากเตรียม ตามมาสนอง เหตุผลที่ชีวิตไม่อาจข้ามห้วงน้ำแห่งสังสารวัฏ ไปได้ ก็เพราะบุคคลมักตกเป็นเหยื่อการกระทำของตนเอง และตกหลุมพรางกระแสของโลก
ในฐานะวิปัสสนาจารย์ อาจารย์ได้เรียนรู้วิถีการห้ำหั่นของ อธรรมที่มีต่อผู้หมายมั่นเป็นผู้ชี้ทางสู่การหลุดพ้นว่าอำมหิต เพียงใด ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ใช้มนตร์ ไม่ใช้มนตร์ก็ใช้การปั่น คนนอกทำอะไรไม่ได้ ก็ใช้คนในให้ทำลายกันเอง ดังสนิมที่ กัดกร่อนตัวเอง โดยมีจุดหมายคือทำลายและทำลายไม่ให้ เหลือ อาจารย์พบว่าศรัทธาเป็นดาบสองคมต่อผู้ที่ยังไม่สิ้น กิเลส เพราะหากผู้ที่อยู่ในฐานะของการได้รับศรัทธามีความ หลงทะนงตน ก็จะทำให้ตกเป็นเหยื่ออัตตาตนเองและนำไป สู่การชี้ทางผู้อื่นที่ผิดตลอดสาย และในเมื่อศรัทธาเป็น อริยทรัพย์ข้อแรกที่นำไปสู่จุดสูงสุดคือพระนิพพาน ศรัทธา ที่มืดบอดก็นำไปสู่การติดจมที่ก้นบึ้งของวัฏสงสารเช่นกัน
ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา หรืออาจเป็นช่วงเวลาที่ย้อนไปไกล กว่านั้น บางคนได้รู้จักตัวเองดียิ่งขึ้น บางคนอาจพบความ ผิดหวังหรือสูญเสียอย่างใหญ่หลวง..ไม่ว่าชีวิตจะพบพานกับ เรื่องราวใดๆมาบ้าง อยู่ท่ามกลางมรสุม ยิ้มรับความสำเร็จ หรือยืนรับคำสรรเสริญในคุณงามความดี ทั้งในวันดีและวันร้าย ทุกข์และสุข These too…will pass สิ่งนี้ก็จะผ่านไป…ในสิ่งที่ ใจยึดมั่นไว้ ไม่เคยมีสิ่งใดที่เราสูญเสียหรือได้มาอย่างแท้จริงเลย เพราะทุกสิ่งในโลกมายานั้นไม่เคยตั้งอยู่ได้อย่างถาวร สักวันหนึ่งสิ่งนี้จะผ่านไป
เรามาในโลกนี้ด้วยมือเปล่า ท้ายที่สุดเราจะต้องจากโลกนี้ ไปมือเปล่าเช่นกัน สิ่งใดที่ยึดถือครอบครองในใจ ล้วนเป็นโซ่ ตรวนให้ใจติดกับดักของวัฏสงสารทั้งสิ้น อย่าเพิ่มโซ่แห่งทุกข์ให้ แก่ตนเองนัก มองโลกให้เหมือนเกม ที่ย่อมมีวันที่เราชนะบ้าง แพ้บ้าง ตราบใดที่ยังไม่ลงไปนอนน็อกอยู่กับพื้น เราจะมีวัน ลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ เมื่อออกจากเกมยังไม่ได้ จงเล่นต่อไป ด้วยใจที่ฉลาดขึ้น
ถอยไปมองชีวิตให้ดี ยิ่งถอยไปไกลได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะจะทำให้เห็นว่าชีวิตเราผ่านอะไรมาบ้าง ได้เรียนรู้อะไร บ้าง ทบทวนเพื่อให้พบว่ามีสิ่งใดที่ต้องแก้ไข และสิ่งใดที่ต้อง รักษา และสิ่งใดที่ต้องทำให้ยิ่งๆขึ้นไป
นอกจากนี้ขอให้ได้ทบทวนไปถึงหน้าที่ชีวิตในหลากหลาย บทบาทว่าเราทำาหน้าที่สมบูรณ์เพียงใด ทั้งหน้าที่ในฐานะ บุพการี ในฐานะบุตร ทบทวนหน้าที่ต่อครอบครัว ต่อการงาน หน้าที่ในความเป็นศิษย์ที่ได้รับพลังธรรมไป หน้าที่ต่อส่วนรวม และที่สำคัญคือ หน้าที่ต่อการยกจิตตนให้พ้นจากวงจรแห่งทุกข์ ทบทวนดูว่าเราได้บกพร่องต่อหน้าที่ใดไปหรือไม่ เราเอียง เราอ้าง เราย่อหย่อนผัดผ่อนไปวันๆ หรือขาดความสมดุลไป หรือไม่อย่างไร มีใครบางคนรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจากความเอียง ของเราหรือไม่ และเรากำลังเดินทางห่างจากฝั่งพระนิพพานไป ไกล เพียงใด
การมีลมหายใจอยู่คือการมีโอกาสได้แก้ไข การมี ลมหายใจอยู่คือโอกาสได้สร้างบารมี อย่าให้โอกาสผ่านเลยไป เพราะเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว อาจต้องใช้เวลายาวนานมาก หลายเดือน หลายปี ไปจนหลายอสงไขยเลยก็ได้ ผู้ที่จะรู้ คุณค่าของโอกาสได้ดีที่สุดคือผู้ที่สูญเสียโอกาสนั้นไปแล้ว ดังตัวอย่างของจิตวิญญาณดวงหนึ่งที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้…
หลายครั้งในขณะที่สอบอารมณ์ อาจารย์ได้สัมผัสความ รู้สึกของผู้ที่ตายไปแล้ว ให้ช่วยถ่ายทอดแก่ผู้ที่เขาอยากให้รับรู้ ซึ่งกำลังมาปฏิบัติวิปัสสนากับอาจารย์ โดยครั้งหนึ่งกระแส อารมณ์และความรู้สึกของบิดาศิษย์ที่เพิ่งตายไปได้เข้ามาสู่จิต เมื่ออาจารย์เปิดโอกาสถามถึง จิตวิญญาณผู้นี้เป็นผู้ใหญ่คนไทย เชื้อสายจีน ในสมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นผู้มีศีลธรรม เป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่ยอมออกปฏิบัติธรรม ได้แต่หยุดอยู่แค่การทำบุญ ไปฟัง ธรรม กราบไหว้ปรนนิบัติพระอรหันต์ตามกาลเท่านั้น เมื่อ ตายไปสู่ปรโลกแล้ว เขาจึงรู้สึกเสียดายโอกาสยิ่งนัก ที่ในวันที่ มีชีวิตอยู่ กลับไม่คิดออกจากบ้านเพื่อบำเพ็ญให้พ้นทุกข์ ได้แต่ จมอยู่กับการทำามาหาเลี้ยงชีพ ปกติแล้วครอบครัวเชื้อสายจีน อยากมีแต่ลูกชาย เมื่อมีลูกสาวก็มักแสดงความผิดหวัง โดย ไม่คิดว่าผู้เป็นลูกสาวจะต้องแบกรับน้ำหนักความผิดหวังของ ผู้เป็นพ่อ จนสะสมเป็นความน้อยเนื้อต่ำาใจเพียงใด
ในวันที่เหลือแต่ดวงวิญญาณ จิตของเขามาพร่ำบอกแก่ ลูกสาวขณะที่กำลังนั่งสอบอารมณ์เบื้องหน้าอาจารย์ว่า… “อย่า รู้สึกน้อยใจไปเลย พ่อภูมิใจในตัวลูก พ่อรักลูก พ่อรู้แล้วว่า ลูกสาวนั้นดีอย่างไร…พ่อเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม พ่อเสียดายโอกาสที่ได้แต่ไปไหว้พระ แต่ไม่ยอมออกปฏิบัติ… พ่อพลาดไปแล้ว…พ่อเสียดายๆ…”
หากคำแห่งความรู้สึกนี้ออกมาจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ลูกคง มีหัวใจเบิกบานยินดี คิดตระเตรียมทุกอย่างเพื่อพาพ่อออก ปฏิบัติธรรม และยังได้ปลดปล่อยปมแห่งความน้อยใจที่สะสม มาทั้งชีวิต ในขณะที่ต่างฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อคำจากใจนี้ มาจากผู้วายชนม์แล้วจะทำอะไรได้ อีกทั้งผู้วายชนม์เองจะทำ อะไรได้ นอกจากรอให้โอกาสได้ความเป็นมนุษย์มาถึงอีกครั้ง และหากเมื่อโอกาสมาถึง ก็ไม่รู้ว่าบุพกรรมที่สะสมมาจะนำพา ชีวิตไปสู่จุดใด จะได้อยู่ท่ามกลางผู้มีศีลมีธรรมหรือไม่ หรือ ตกไปอยู่ในหมู่ของผู้ไม่มีศรัทธา เวลามีชีวิตอยู่ก็เมินต่อกัน ต่อเมื่อตายแล้วค่อยมาขอโทษกัน การมอบดอกไม้ให้หน้า โลงศพ สิ่งนี้จะช่วยอะไรได้….มนุษย์มักทำลายและทอดทิ้ง โอกาสในการทำสิ่งที่ดีงามต่อกันเสมอ
อย่าดูแคลนคำาว่า โอกาส…เพราะเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว บ่อยครั้งที่โอกาสนั้นไม่หวนกลับมาอีกเลย อาจารย์เขียน คำาสอนนี้ให้แก่ผู้ที่ยังมีลมหายใจอ่านทั้งสิ้น และทุกท่านคือ ผู้ที่กำาโอกาสอยู่ในมือ แม้ในบางอารมณ์อาจมีบ้างที่ไพล่คิดไป ว่าชีวิตของตนไม่ดีพอ ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่สมหวังเป็นอันมาก อย่าปล่อยให้จิตจมอยู่ในอารมณ์นั้น ที่สำาคัญ อย่าเสียศรัทธา กับการมีชีวิต เพราะอีกไม่นานเท่าไหร่ ทุกอย่างก็จะผ่านไป รวมถึงการมีชีวิตของตนเอง
ใช้ความเป็นมนุษย์ผู้สามารถหลุดพ้นได้สร้างโอกาสใหม่ ขึ้นมา สร้างอย่างมีสติและมีธรรมกำกับ อยู่กับทุกขณะ อยู่ด้วยใจที่มั่นในความดี สิ่งใดที่ทำได้ไม่เต็มที่ ทำใหม่ให้ เต็มที่ สิ่งใดที่พร่องไป เติมใหม่ให้เต็ม อยู่เพื่อตนเองและ แบ่งปันคุณค่าในชีวิตให้แก่ผู้อื่น
และท้ายที่สุดเริ่มต้นใหม่นะ ขอความสุขและความสวัสดี บังเกิดแก่ทุกคน