
จากการรักษาฟัน…สู่การรักษาความหมายของชีวิต
ทันตแพทย์หญิงศศิณัฐ จิตตาศิรินุวัตร
ผู้คนมากมายโหยหา ‘ชีวิตที่มีความหมาย’ (meaningful life) ยิ่งหลังผ่านวิกฤตโควิด -19 หลายคนเริ่มตั้งคำถาม กับชีวิตที่เคยเป็นกิจวัตรเดิมซ้ำๆ ว่า… ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร?
นักจิตวิทยาบางคนอย่าง Abraham Maslow หรือ ViktorFrankl เคยเสนอไว้ว่า แรงขับเคลื่อนที่สูงที่สุดของมนุษย์ ไม่ใช่เพียงการมีอยู่หรือมีสุข แต่คือการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายต่อผู้อื่น
คำตอบนี้อาจฟังดูไกลตัว แต่หากลองฟังเรื่องราวของ‘ทันตแพทย์หญิง’ คนหนึ่ง ผู้ซึ่งชีวิตเคยดำเนินไปตามสูตรสำเร็จทุกประการ ทั้งเรียนดี มีงานมั่นคง ครอบครัวอบอุ่น ไม่มีเรื่องให้ทุกข์ใจ แต่กลับตัดสินใจออกเดินทางสู่เส้นทางธรรม ไม่ใช่เพราะชีวิตแตกสลาย หรือจิตใจสิ้นหวัง…แต่เพราะเพื่อนคนหนึ่งชวนไปปฏิบัติธรรม
จากวันนั้นจึงเกิดคำถามใหม่เกี่ยวกับชีวิต นำไปสู่การทำงานเป็นทันตแพทย์อาสาให้กับสถานปฏิบัติธรรมกลางป่าในจังหวัดสุรินทร์ และในเวลาเดียวกันก็กลายเป็นการมอบโอกาสในการรักษาให้แก่ชาวบ้านรอบพื้นที่ห่างไกล
จากทันตแพทย์ในคลินิก เริ่มทำหน้าที่ “รักษาชีวิต”มากกว่ารักษาฟัน
จากคุณแม่ผู้ไม่เคยเข้าค่ายธรรมะ กลายเป็นพี่เลี้ยงคอยดูความเป็นอยู่ให้กับเยาวชนในโครงการ “ธรรมะวัยใส”
จากผู้หญิงที่ไม่เคยตั้งคำถามกับชีวิต กลายเป็นผู้ที่เข้าใจคำว่า “ธรรมะ” ในชีวิตประจำวัน อย่างเป็นรูปธรรม
นี่คือเรื่องราวของการเปลี่ยนผ่านภายใน ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ลึกซึ้ง เป็นเครื่องยืนยันว่า เราไม่จำเป็นต้องรอให้ชีวิตวุ่นวายก่อน จึงจะเริ่มมองหาทางออก บางครั้ง การตื่นรู้ อาจเกิดขึ้นในวันที่ชีวิต ‘เรียบง่ายเกินไป’ จนเราเริ่มตั้งคำถามว่า…เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อส่งต่อชีวิตที่ดีและความสุขให้แก่ผู้อื่นเช่นกัน
แรงจูงใจให้เข้ามาทางธรรม
ต้องบอกว่าเริ่มจากเพื่อนค่ะ คือเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมอยู่ชวนไปปฏิบัติธรรม ตอนนั้นประมาณปลายปี 2558 ค่ะ แล้วหลังจากนั้นประมาณอีก 3 ปี ก็เริ่มมีโอกาสทำงานอาสา ซึ่งหนึ่งในงานอาสาคือ ทำฟันให้พระสงฆ์ที่สถานปฏิบัติธรรมลานหินป่าโมกข์ จ.สุรินทร์ ตอนนั้น เราตามเพื่อนไปเผื่อว่าจะทำอะไรได้บ้าง ซึ่งพอเพื่อนถามแม่ชีที่นั่นว่า มีปัญหาอะไรไหม ก็ได้ทราบว่าที่นั่นมีปัญหาเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องฟัน เพราะออกไปข้างนอกยากมาก เพราะสถานที่อยู่ไกลมาก
ประสบการณ์หมอฟันอาสาเป็นอย่างไรบ้างคะ
เวลาที่ทีมอาสาไป ก็จะอยู่ที่นี่ประมาณ 2-3 วัน และโฟกัสแต่เรื่องนี้เลย ช่วงแรกๆ จะทุลักทุเล ตอนกลับมาครั้งแรกคิดว่าจะทำยังไงดี เราเลยติดต่อเพื่อนที่เคยทำงานอยู่ใน จ.สุรินทร์ว่ามีคนรู้จักแถวอนามัย ต.แนงมุดไหม เขาก็ติดต่อให้ได้เลย เราก็ใช้วิธีเช่ารถตู้พากันไปแล้วใช้วิธีพาพระคุณเจ้าไปทำฟัน โดยใช้ห้องทันตกรรมของสถานีอนามัย จริงๆ ในพื้นที่ก็มีทันตาภิบาลที่สามารถทำฟันง่ายๆ หรือขูดหินปูนเหมือนกันค่ะ แต่ถ้ามากกว่านั้นต้องเป็นหมอฟัน
หลังจากที่ไปทำได้ 2 ครั้ง ทางนั้นก็ให้ยืมเครื่องมือทันตแพทย์ทั้งชุดเลยเพื่อมาทำนอกอนามัย ก่อนที่ทีมอาสาจะไป เขาจะช่วยเตรียมอุปกรณ์ให้ทุกอย่าง พร้อมฆ่าเชื้อเรียบร้อย ต้องขอบพระคุณมา ณ ที่นี้เลยค่ะ แต่อย่างไรก็ตามยังมีความไม่สะดวกในเรื่องการขนย้ายอุปกรณ์ การติดตั้งก่อนการใช้งานสถานที่ทำฟันไม่มีลักษณะที่กั้นห้องเป็นสัดส่วน และการทำฟันมันต้องมีการบ้วนปากและดูดน้ำลาย ตอนนั้นเวลาขูดหินปูน พอดูดน้ำลายเสร็จเราก็ต้องเดินหิ้วไปเทแต่ละที แล้วไม่นานมานี้ ช่วงหลังโควิด ก็ประสบปัญหามากขึ้น เครื่องมือไม่ได้ใช้งานมานานวัสดุทันตกรรมหมดอายุ พระคุณเจ้าท่านเดินมาเห็นเราง่วนกับการปรับแต่งอุปกรณ์ทำฟันให้ใช้งานได้ ท่านถามว่าเก้าอี้ทำฟันนี่แพงมากมั้ย เราก็เลยกราบเรียนท่านว่า ก็ไม่เท่าไหร่ค่ะ เดี่ยวจะลองจัดหาดู
เชื่อมั้ย หลังจากกลับมากรุงเทพฯ ได้แป๊บเดียว ในกลุ่มห้องแชตไลน์ทันตแพทย์ก็มีคนเซ้งเก้าอี้ทำฟัน 2 ตัว เราก็ติดต่อไปพอเขารู้ว่าเราจะเอาไปทำฟันถวายพระ เขาก็เลยบอกให้ราคานี้พร้อมยกเครื่องมือทั้งหมดในคลินิกให้ด้วยเลย ส่วนงานติดตั้งต่างๆ ก็ได้ทีมจากคนรอบตัวมาช่วยจนทุกอย่างเรียบร้อย
ปกติคุณหมอเป็นแนวจิตอาสาตั้งแต่สมัยเรียนหรือเปล่าคะ
เอาจริงๆ นะ เข้าค่ายก็ไม่เคยไปเลย ครอบครัวก็ธรรมดาชีวิตอยู่ในกรอบ ไม่มีอะไร เรียบๆ เลย ก็เรียนหนังสือไปตามสเต็ปประถม มัธยม พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ดังที่หวัง คือ จุฬาฯ พอจบก็ทำงานใช้ทุนที่โรงพยาบาลหลังสวน จ.ชุมพร พอทำงานได้ 7-8ปี ก็มาเรียนต่อเพิ่มเติม แล้วก็มาเปิดคลินิกเพราะมีครอบครัวที่นี่
เป็นชีวิตที่เป็นตามสเต็ปและเรียบง่ายที่หลายคนฝันถึง ถ้ามองในมุมของชีวิตคนคนหนึ่งแทบไม่มีอะไรให้ทุกข์ใจก็ว่าได้
จะว่าอย่างนั้นก็ได้ อย่างที่บ้านตั้งแต่เด็ก ก็ไม่ได้มีสอนอะไรเป็นพิเศษ มีแค่ทำบุญสวดมนต์ทั่วไปธรรมดา หรืออย่างตอนที่ลูกยังเล็กๆ ก็คุยกับเพื่อน เขาก็เล่าว่าพอลูกขึ้น ป.5-ป.6 ก็พาไปปฏิบัติธรรม เราก็ เออ ดีๆ ส่งลูกไปบ้างที่ยุวพุทธ แต่แม่ไม่ได้ไปนะ (หัวเราะ) ตอนนั้นลูกก็อายุประมาณ 10-11 ปี
ถ้าเช่นนั้น อะไรที่ทำให้คุณหมอตัดสินใจลุกขึ้นออกปฏิบัติธรรมจริงจัง ทั้งที่ชีวิตก็ดีมีความสุข และไม่เคยมีความคิดทางนี้มาก่อน
อย่างที่บอกว่าเพื่อนสมัยเรียนมัธยมต้นไปปฏิบัติก่อน แล้วมาชวน จริงๆ ตอนเริ่มนั่งวิปัสสนา เราก็รู้ว่าดีนะ แต่นั่งบ้าง ไม่นั่งบ้าง แน่ๆ คือ รู้ว่าต้องไปต่อ เพราะทุกครั้งที่ไป รู้ว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
—
ดูเนื้อหาทั้งหมดโดยการสมัครสมาชิก หรือซื้อที่ Shopee
