Skip to content Skip to footer

อาจารย์ ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา

ไขรหัสสัญชาตญาณมนุษย์ กับ

อาจารย์ ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา

นักอาชญาวิทยา และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริการวิชาการ

คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

“อย่าไว้ใจใครแม้กระทั่งเพื่อนที่รู้จักกันมา 10 ปี คุณรู้จักเขาไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ”

ประโยคนี้ไม่ได้มาจากคนระแวงโลก แต่มาจากปากของดร. ตฤณห์ โพธิ์รักษา อาจารย์ด้านอาชญาวิทยาเชิงจิตวิทยา ผู้ศึกษาจิตใจมนุษย์ลึกพอจะรู้ว่า ความดี ความชั่ว หรือความจริงที่เรายึดถือไว้นั้น ล้วนเปลี่ยนรูปได้ง่ายกว่าใบหน้าในกระจก

แม้จะเป็นที่รู้จักอย่างดีอยู่แล้วในแวดวงตำรวจและการศึกษาแต่ชื่อของอ. ตฤณห์ กลายเป็น talk of the town หลังจากที่เขาอธิบายถึงโรค Shaken Baby Syndrome อันเป็นปัจจัยแรกที่นำาไปสู่จุดเริ่มต้นของการสร้าง “เด็กเปรต” โดยไม่รู้ตัวของพ่อแม่ที่ชอบอุ้มและเขย่าลูกบ่อยๆ ตอนเป็นทารก และด้วยสไตล์ส่วนตัวที่เป็นคนพูดจาไพเราะ แต่ตรงไปตรงมา ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจชาวเน็ตที่มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียกว่าครึ่งล้านอย่างรวดเร็ว

จากเด็กน้อยที่ฝันว่าอยากเป็นตำรวจ เพราะมีคุณปู่และคุณพ่อเป็นตำรวจ หลังจากรับราชการเป็นตำรวจเกือบ 7 ปี เขาก็ค้นพบความชอบของตนเองระหว่างการได้สัมภาษณ์อาชญากรว่า สิ่งที่น่าสนใจกว่า “ทำผิดทำอะไร” คือคำาถามว่า “ทำไมคนถึงทำผิด?ทำไมบางคนกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า?

ในบทสนทนาครั้งนี้ เขาไม่ได้มาพูดแค่เรื่องอาชญากรรม แต่พาเราย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของปัญหา การเลี้ยงดูเด็กการเป็นพ่อแม่ และสังคมที่เปลี่ยนไป ซึ่งเมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว คุณจะสามารถนำาไปใช้กับทุกเรื่องตั้งแต่จับโกหกคนใกล้ตัวยันจับผิดมิจฉาชีพที่มาในคราบผู้วิเศษ และแม้กระทั่งนักบวช นี่จึงไม่ใช่แค่บทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมอาชญากรรมแต่คือการ “ผ่ากายภาพจิตใจมนุษย์” อย่างนุ่มนวลและตรงไปตรงมาที่สุด โดยไม่ต้องมีเครื่องจับเท็จ

Nature or Nurture?

ลักษณะของคนคนหนึ่ง ก่อนจะมาประกอบกลายเป็นตัวบุคคลหรือพฤติกรรมเนี่ย ต้องอาศัยการประกอบทั้งสองอย่างครับ ทั้งภายในและภายนอกภายใน ส่วน Nature ก็คือพันธุกรรมลักษณะทางสายเลือดที่ส่งต่อมา เราไม่สามารถเลือกได้ เกิดมาก็เป็นแบบนั้นเลย ส่วน Nurture เนี่ยก็คือสภาพแวดล้อมปัจจัยอื่นๆ ที่ประกอบที่ขัดเกลาที่มาให้เราเห็นเป็นโมเดล ทำให้เราซึมซับจากสิ่งเหล่านี้ ประกอบมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราเช่นกัน

เมื่อก่อนคำถามเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กให้มีคุณภาพมักจะเป็นคำถามว่า เลี้ยงลูกอย่างไรให้เก่ง ให้เป็นเด็กดี แต่พอมายุคนี้ คำถามคือเลี้ยงอย่างไรไม่ให้เป็นเด็กเปรต หรือฆาตกร มันเกิดอะไรขึ้น

ผมคิดว่าการจะเลี้ยงดูบุตรสักคนหนึ่งนี่นะ ไม่ใช่มาถามตอนลูกคุณเกิดมาแล้ว ไม่ใช่มาถามตอนลูกคุณ 7 ขวบ มันไม่ทันแล้วครับ การวางแผนการเลี้ยงดูบุตรเริ่มต้นจากตัวพ่อแม่ มีความพร้อมไหม แล้วไม่ใช่สภาวะการเงินอย่างเดียวที่ต้องพร้อม ต้องมีเวลาด้วย พอไม่มีเวลา มีแต่เงิน เด็กเปรตเลยเต็มบ้านเต็มเมืองหรือพ่อแม่สปอยล์ลูก พอมีเวลา มีเงิน แต่สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น ครอบครัวใหญ่เกินไป มีตัวอย่างที่ไม่ดีอยู่ในบ้านหรืออยู่ใกล้ชุมชนที่มันไม่ดี ชุมชนยาเสพติด หรืออะไรก็แล้วแต่สรุปการจะเลี้ยงเด็กสักคนหนึ่ง คุณต้องเตรียมพื้นฐานให้มันพร้อมทุกด้านหลายๆ ด้าน เลี้ยงเด็กคนหนึ่งเตรียมเงินไว้เลยนะหลักล้าน ไม่ใช่หลักหมื่น เงินค่าทำคลอด เงินซื้อนมรายเดือน มันไม่ใช่แค่นั้นครับ มันคือการวางรากฐานของเด็กคนหนึ่งตั้งแต่ศูนย์ไปจนถึงตลอดชีวิตเขา การเป็นพ่อแม่มันไม่มีวันเกษียณ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าทุกอย่างพร้อมสำหรับลูกแล้ว พ่อแม่พร้อมไหม นิสัยที่มันไม่ดี ไม่อยากจะเอาไว้เป็นตัวอย่าง คุณเลิกได้ไหม สามารถมีระเบียบวินัยในตัวเองมากพอที่จะมีเด็กคนหนึ่ง แล้วคุณขยับตัวพูดจาทำลักษณะนิสัยให้เป็นโมเดลให้เขาได้ไหม ถ้ายัง ผมคิดว่าคุณไม่ควรมีลูก

เรามักได้ยินพ่อแม่ปู่ย่าตายายบอกว่า ทำไมสมัยก่อนมันไม่เห็นต้องคิดมากเวลามีลูกสร้างครอบครัวเลย

ผมมีคำตอบให้ สมัยก่อนกับปัจจุบันนี้ Distraction หรือการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเรื่องราวชีวิตหลักๆ มันมีไม่มากเช่น แต่ก่อนมิจฉาชีพเข้าทางประตูบ้านเท่านั้น เพราะเรายังไม่มีโทรศัพท์ แก๊งตกทองก็ต้องไปข้างนอก แต่ปัจจุบันนี้ การมีโทรศัพท์ ระบบอินเทอร์เน็ตสร้าง Pathway เชื่อมระหว่างตัวเราและโลกภายนอกได้มากมายหลากหลายมากขึ้น ทำให้วิธีหลอกลวงมากขึ้น ความเสียหายมีทั้งด้านจิตใจ ด้านการเงิน ด้านทางกาย ดังนั้นการใช้แนวความคิดแต่ก่อนมาป้องกันอาชญากรรมสมัยนี้จึงตามไม่ทันครับ

ปัญหาบูลล่ีมันเริ่มจากตรงไหนที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ

คนไทยไม่ค่อยรู้จักการบูลล่ี จริงๆ มันมีมานาน การกลั่นแกล้งกันมีมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว แต่เราเพิ่งรู้จักคำานี้และเริ่มมีการตระหนักรู้ จริงๆ แล้วการบูลลี่มีหลายแบบ แบบแรกคือทางสายตา อย่างคนที่ทำางาน เวลาพูดอะไรแล้วเรารู้สึกถึงความไม่ฉลาด แล้วเราก็มองหน้าเขา การเหยียดก็คือบูลลี่อย่างหนึ่งแหละ

สอง น้ำเสียงและการพูดเล่น เอาปมด้อยของเขามาล้อบางทีเห็นเป็นเพื่อนสนิทก็ล้อมัน ไอ้อ้วน ไอ้หยอย เราคิดว่าความสนิทสนมสามารถทะลุกำแพงการป้องกันใดๆ ทุกอย่างได้ แต่จริงๆ แม้คนสนิทบูลลี่หรือพูดเล่น เขาก็รู้สึก การโดนซ้ำาๆ อาจจะรู้สึกน้อยลง แต่มันก็ลดทอนคุณค่าความเป็นตัวเขาอยู่ตลอดเวลานี่คือการบูลล่ีที่คนไทยชอบคิดว่า เพื่อนสนิทกัน ไม่เป็นไรหรอก

การบูลล่ีที่สาม คือ Physical bullying การรังแก ทำร้ายร่างกาย การขัดขา การต่อย อันนี้เห็นชัดเจนและร้ายแรง อันต่อมาคือ Social bullying คือการที่ทำาให้สังคมกดดันคนๆ นั้น เช่นแบนมัน ไม่ต้องไปคุยกับมัน มันนิสัยไม่ดี ปล่อยข่าวลือ หรือปล่อยรูปภาพลับ การทำให้สังคมกดดันเขา ให้เขารู้สึกว่าไม่มีที่ไปส่วนอันสุดท้ายครับ ปัจจุบันนี้มีมาก คือ Cyber bullying เอาการบูลลี่ทั้งหมดใส่เข้าไปในโลกไซเบอร์ ซึ่งจะทิ้งรอยเท้าดิจิทัลไว้ ถ้าครั้งหนึ่งในชีวิตคุณเนี่ย คุณถูกปล่อยเรื่องราวส่วนตัวที่มันน่าอายลงสู่ระบบอินเทอร์เน็ต มันจะไม่มีวันหายไป

แต่ก่อนนี้นะ ความสามารถในด้านการแข่งขันกันสำาหรับเด็กมันไม่ใช่เรื่องเงิน มันคือเรื่องใครตัวใหญ่กว่า ตัวเล็กกว่า คนตัวใหญ่จะแกล้งคนตัวเล็ก หรือถ้าคนตัวเล็กมีลูกน้องเยอะก็จะไปแกล้งคนตัวใหญ่ที่ไม่สู้คน มันมีอยู่แค่นี้เอง มีนะครับที่เด็กอนุบาลทำการบ้านไม่ได้ เลยไปดึงของเพื่อนมาฉีก ซึ่งเรื่องแบบนี้เราต้องเห็นถึงความร้ายแรงของมัน ผู้ปกครองบางคนมองว่าเด็กทะเลาะกัน จะอะไรกันนักหนา ทำไมฉันต้องมาโรงเรียนด้วยสำาหรับพ่อแม่เด็กที่เป็นเหยื่อ มันคือปมแรกในชีวิตของลูกเขา แล้วมันจะสร้างปัญหาตามมา ดังนั้นการบูลลี่ควรเป็นสิ่งยอมรับไม่ได้ในโรงเรียน ต่างประเทศเขาจริงจังเรื่องนี้มาก แต่คนไทยมักจะแค่ขอโทษแล้วจบ อย่าทำอีกนะ หรือทำแล้วอย่าให้ครูเห็น



ดูเนื้อหาทั้งหมดโดยการสมัครสมาชิก หรือซื้อที่ Shopee