
กรุงเทพฯ อายุ 240 ปีแล้ว…จากที่เราได้เห็นงานอีเวนต์ใหญ่ “ใต้ร่มพระบารมี 240 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”
ในโอกาสครบรอบ 240 ปี การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ในช่วงปลายเมษายนที่ผ่านมา เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธ- ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ที่ได้ทรงมีคุณูปการในการทำนุบำรุงบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรือง ผาสุก และมั่นคง สืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เราจะขอพาท่านไปเที่ยวชมสถานที่ที่น่าสนใจรอบเกาะ รัตนโกสินทร์ เพื่อรำลึกวันวาน ย้อนดูความเป็นมาของกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ผ่านสถานที่ต่างๆ จะมีที่ไหนบ้าง ตามเรามาเลยครับ
ก่อนพาเที่ยว ขอเล่าประวัติกรุงเทพฯ โดยสังเขป หลังจากที่สมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราชได้ทรงกู้บ้านกู้เมืองจากการแพ้สงครามและได้ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ บริเวณ “บางกอก” ที่ราบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงสถาปนาเป็น “กรุงธนบุรี” หรือชื่อเต็มว่า “กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร” จากนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า- จุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง พระบรมมหาราชวังแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 ให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา
เดิมกรุงเทพฯ มีชื่อว่า “กรุงรัตนโกสินทร์อินท์อโยธยา” ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ทรงแก้นามพระนครเป็น “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินท์ มหินทอยุธยา” จนในสมัย รัชกาลที่ 4 ได้ทรงเปลี่ยนมาเป็นชื่อกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน ต้องขอบคุณพี่ป้อมและพี่โต๊ะ (อัสนี-วสันต์) ที่ทำให้เด็กไทย สามารถท่องชื่อกรุงเทพฯ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่ชื่อยาวที่สุด ในโลกได้อย่างไม่ตกหล่น หากใครลืมไปแล้ว ลองหาเพลงฟังไป พลางๆ ระหว่างที่ผมพาเที่ยวก็ไม่ว่ากันครับ
MUSEUM SIAM
สถานที่แรกที่เราจะพาท่านไปเยี่ยมชมคือ มิวเซียม สยาม หรือพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ (ขึ้นจาก MRT สนามไชยมาก็เจอเลย) เป็นแหล่งการเรียนรู้หนึ่งที่เน้นจุดมุ่งหมายในการแสดงตัวตน ของชนในชาติ ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและ เยาวชนได้เรียนรู้รากเหง้าของชาวไทย เพราะสิ่งที่จัดแสดงเน้น การนำเสนอความเป็นไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันในมิติที่ร่วมสมัย มากขึ้น ผ่านการนำเสนอด้วยสื่อผสมหลายรูปแบบ ทำให้มี ความน่าสนใจและดึงดูดใจได้อย่างดี อีกทั้งยังตั้งอยู่ในสถานที่ที่ สวยงาม
ในส่วนนิทรรศการมีทั้งแบบถาวรและแบบมิวเซียมติดล้อ ที่ทำร่วมกับ Muse Mobile เป็นการจัดนิทรรศการในตู้ คอนเทนเนอร์เคลื่อนที่ไปจัดแสดงตามสถานที่ต่างๆ ได้ นิทรรศการใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบโต้ตอบ โดยใช้ตัวละคร 7 ตัวเป็นตัวกลาง ผนวกกับแบ่งการนำเสนอออกเป็น 3 ช่วง และนำเสนอโดยอธิบายลึกลงไปถึงรายละเอียด ผ่านห้อง นิทรรศการจำนวน 17 ห้อง รับรองว่าได้ทั้งความรู้และความ สนุกแน่นอน
THA MAHARAJ
มาต่อกันที่ท่ามหาราช THA MAHARAJ ศูนย์การค้าทัน สมัยในย่านพระนคร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จากคอนเซปต์ “Riverside Eatery, Urban Oasis, Art & Culture Market” กลายเป็นแหล่งรวมร้านอาร์ตหลากหลาย ได้แก่ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้าเครื่องประดับมากมาย เหมาะกับหลายคน ที่กำลังมองหาโลเกชันดีๆ สำหรับพักผ่อนสบายๆ ในวัน ธรรมดาหรือวันหยุด
ชั้น 3 และ 4 จะมีม้านั่งให้ได้นั่งเล่นรับลมสบายๆ จากแม่น้ำเจ้าพระยาและชมวิวสวยๆ ที่นี่ยังมีสวนป่าสีเขียวที่ ปลูกประดับแซมไปทุกมุมของอาคาร เหมือนถูกโอบล้อมด้วย แหล่งโอเอซิสขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกเสมือนว่าแม้จะอยู่ในเมือง แต่ธรรมชาตินั้นก็ไม่ได้ห่างหายไปจากทุกคนเลย
PIPIT BANGLAMPHU MUSEUM
อีกหนึ่งสถานที่ประวัติศาสตร์และเป็นรากเหง้าแห่งเกาะ รัตนโกสินทร์ที่ไม่ควรพลาด นั่นคือ พิพิธบางลำพู ซึ่งตั้งอยู่บน ถนนพระอาทิตย์ ใกล้กับป้อมพระสุเมรุ มีประวัติศาสตร์มาอย่าง ยาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน อาคารจากกรมศิลปากรเมื่อปี 2543 เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว และศูนย์การเรียนรู้เชิงการศึกษาวัฒนธรรมชุมชน เป็นพิพิธภัณฑ์ สมัยใหม่ซึ่งประยุกต์การแสดงวัตถุและการเล่าเรื่องเชิงประวัติศาสตร์ เข้ากับการแสดงวิถีชุมชนบางลำพูเดิมอย่างน่าสนใจ
พื้นที่ของพิพิธภัณฑ์เดิมเป็นบ้านของพระยานรนารถภักดี ศรีรัษฎากร อธิบดีกรมคลังในสมัยรัชกาลที่ 5 ภายหลังถูกปรับใช้ โดยหน่วยงานต่างๆ ให้เป็นสถานที่เก็บสินค้า จำหน่ายตำรา โรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช และโรงพิมพ์คุรุสภา ปัจจุบันได้จัด แสดงเกี่ยวกับข้อมูลของกรมธนารักษ์ รวมถึงพัฒนาการ ประวัติศาสตร์ด้านต่างๆ ของชุมชนในย่านบางลำพู ตั้งแต่ต้น กรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน
WAT BOWONNEVET RATCHAWARAVIHARA
วัดบวรนิเวศวิหาร ถือเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม ที่วิจิตรงดงามอลังการแห่งหนึ่งในประเทศไทย ยิ่งรวมเข้ากับ บรรยากาศสุดคลาสสิกแถวบางลำพู ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนได้ ย้อนเวลาไปยังย่านพระนครในอดีตเลยทีเดียว
เมื่อเข้าไปในวัด พื้นที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เขต พุทธาวาสและเขตสังฆาวาส โดยมีกำแพงและคูน้ำกั้น ในส่วน ของพุทธาวาสนั้น มีสถาปัตยกรรมของพระอุโบสถที่ผสมผสาน ระหว่างหลายวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีจุดที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เช่น พระอุโบสถวัดรังษี วิหารพระศาสดา วิหารเก๋ง พระ มหาเจดีย์ หอระฆัง และหอไตร เป็นต้น
ในส่วนเขตสังฆาวาสก็จะมีพระตำหนักต่างๆ เป็นที่ประทับ ของพระมหากษัตริย์ที่เคยทรงผนวชที่วัดนี้ เช่น พระตำหนัก ปั้นหยา พระตำหนักจันทร์ พระตำหนักเพ็ชร เป็นสถาปัตยกรรม แบบอาคารบ้านเรือนฝรั่ง และหากเดินไปทางด้านหลังของวัด จะพบกับพิพิธภัณฑ์และห้องสมุดเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ที่จัดตั้งอยู่ในอาคารมนุษยนาควิทยาทาน อาคารรูปทรงคล้าย โบสถ์คริสต์ ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมกอทิกประยุกต์เข้ากับ รายละเอียดของศิลปะไทย
อีกความสำคัญคือ วัดบวรนิเวศราชวรวิหารเป็นพระ อารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร เป็นวัดประจำ 2 รัชกาล ได้แก่ รัชกาลที่ 6 และ 9 และยังเป็นที่ประทับของสมเด็จ พระสังฆราชถึง 4 พระองค์ เรียกได้ว่าวัดบวรนิเวศวิหารนั้น มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็น อย่างมาก

LOHA PRASAT (THE METAL CASTLE)
จากถนนหลานหลวงผ่านสะพานผ่านฟ้าลีลาศ แสงสีทอง เหลืองอร่ามจากหลังคาทรงแหลมแห่งโลหะปราสาทที่ยังคงสภาพ สมบูรณ์หนึ่งเดียวในโลกที่ออกแบบอย่างอลังการ ณ วัดราช- นัดดารามวรวิหารใจกลางกรุง จะกระทบและดึงดูดทุกสายตา ของผู้สัญจรและนักท่องเที่ยวทุกคนได้อย่างประทับใจ
โลหะปราสาทนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเจดีย์ประธานของวัด ราชนัดดาราม คำว่าโลหะปราสาท (Lohaprasada) มีความ หมายว่า “ตึกที่มียอดเป็นโลหะ” ด้านล่างเปิดเป็นนิทรรศการ โลหะปราสาท เล่าเรื่องราวการก่อสร้าง ประวัติ และข้อมูลที่น่าสนใจ ยอดปราสาทประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเพื่อ ให้ประชาชนได้สักการบูชา และสามารถชมทัศนียภาพ 360 องศารอบเกาะรัตนโกสินทร์ได้อีกด้วย
THE GINGERBREAD HOUSE
ไม่ไกลมีคาเฟ่ชื่อน่ากินอย่าง “บ้านขนมปังขิง” ร้านกาแฟกึ่ง พิพิธภัณฑ์ที่มีอายุกว่าร้อยปีในซอยหลังโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า โดยอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Ginger Bread House ซึ่ง ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 ที่เรียกว่า ชื่อนี้เพราะลักษณะของการตกแต่งลวดลายฉลุที่สวยงามละเอียด อ่อนบนตัวบ้านคล้าย “ขนมปังขิง” หรือคุกกี้ที่ชาวยุโรปมักจะทำ กินกันในเทศกาลคริสต์มาสนั่นเอง
บ้านขนมปังขิงเป็นบ้านของ “ขุนประเสริฐทะเบียน (ขัน)” ซึ่งปัจจุบันทายาท (รุ่นหลาน) ได้เปิดเป็นคาเฟ่ ให้บริการทั้ง เครื่องดื่มและขนมหลากสัญชาติ เมนูที่นิยมคือ “ชุดบัวทอง” ที่ รวมทั้งขนมไทย เค้ก และเครื่องดื่ม หรือหากใครเป็นสาวกขนม ไทยฟิวชั่น แนะนำไอศกรีมใบเตยบัวลอย ที่เสิร์ฟมาพร้อมน้ำ กะทิอบควันเทียน หรือจะสั่งไอศกรีมใบเตยลอดช่องเสิร์ฟกับ น้ำตาลมะพร้าว ทั้งอร่อยทั้งชื่นใจ
ONG ANG WALKING STREET
หากใครมีเวลาช่วงวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ เราแนะนำให้ไป เดินเล่นที่ถนนคนเดินคลองโอ่งอ่าง การันตีด้วยรางวัลต้นแบบ การปรับปรุงภูมิทัศน์ 1 ใน 6 ของโลก อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของ กรุงเทพฯ ที่ไม่ควรพลาด ชื่อ “คลองโอ่งอ่าง” สันนิษฐานว่ามา จาก อดีตที่บริเวณนี้เป็นแหล่งขายเครื่องปั้นดินเผาของชาวจีนและ ชาวมอญ
ช่วงเย็นตั้งแต่เวลา 16.30 น. ของทุกวันศุกร์ถึงอาทิตย์จะมี ร้านรวงมาเปิดขายของหลากหลาย จากบริเวณจากสะพานดำรง สถิต (สะพานเหล็ก) ไปจนถึงสะพานโอสถานนท์ (เชิงสะพาน พระปกเกล้า) ให้ได้เดินชมริมน้ำชิลๆ ช้อปของกินของฝาก มากมาย ดื่มด่ำถ่ายภาพสีสัน Street Arts สะท้อนภาพลักษณ์ และวัฒนธรรมชุมชนที่แปลกตา ลงคลองพายเรือคายักให้ชุ่มฉ่ำใจ
FARM TO TABLE HIDEOUT
หากแวะปากคลอง มีร้านอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ มี เมนูที่ใส่สลัดผักสดๆ และเมนูขนมไทยมากมายที่หารับประทานได้ ยาก ร้านนี้อยู่ในโซนปากคลองตลาดเก่า (ถนนเส้นด้านหลังสวน กุหลาบและเพาะช่าง) นิยามคำว่า Hideout เหมาะสมกับร้านนี้ มากๆ เพราะซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ
จริงๆ Farm to Table มีอีกหน้าร้านที่อยู่ติดถนนอัษฎางค์ ใช้ ชื่อว่า “Farm to table, Organic café (มีชื่อที่ร้านเรียกน่ารักๆ ว่า ฟาร์มเล็ก ส่วน Hideout จะเรียกว่า ฟาร์มใหญ่) แต่ร้านจะ เล็กกว่า เมนูบางอย่างจะไม่เหมือนกัน แต่รับรองว่าอร่อยไม่ต่าง กัน ส่วนเมนูที่อยากให้ลองคือ สลัดเต้าหู้ถั่วลูกไก่น้ำสลัดสไปซีโชยุ ยำวุ้นเส้นโบราณทับทิม ข้าวซี่โครงหมูอบคะน้าฮ่องกง อย่าลืม ตบท้ายด้วยขนมหวาน อาทิ ขนมข้าวตอกตั้ง กับเจลาโต้มะพร้าว อัญชัน บัวลอยเผือกกับเจลาโต้ไข่เค็มบ้านตลาดน้อย และอื่นๆ น่าลองอีกเพียบ (เมนูบางอย่างจะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล)
จากกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี จนมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ใน ปัจจุบันเป็นเวลา 240 ปีพอดี เราช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิด ในแผ่นดินไทย ที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เพราะความปราด เปรื่องแห่งบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า รวมทั้งวีรบุรุษและวีรสตรี ที่ร่วมรักษาชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ได้ ทำให้ ประเทศไทยมีความโดดเด่น มีศิลปะอันอ่อนช้อย มีภาษา และ วัฒนธรรมที่มีความเป็นอัตลักษณ์ที่ชาวต่างชาติและแม้แต่ชาวไทย เองเมื่อได้มาสัมผัสแล้วต้องตะลึง
