อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล
การไม่เชื่อว่าคำอธิษฐานมีจริง ก็อย่าไปอธิษฐาน การอธิษฐานที่จะส่งผลได้เร็วและให้ผลเกินประมาณต้องเกิดจากฐานบุญที่มีอานิสงส์สูง
ในการอธิษฐานหลังจากปฏิบัติวิปัสสนา เราไม่ได้อธิษฐานขอจากใคร แต่เราอธิษฐานจากบุญที่เราทำเอาไว้เอง ด้วยคำว่า “ด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมานี้ จงเกิดเป็นอานิสงส์ให้…” ซึ่งอานิสงส์ที่หวัง ล้วนขอให้ส่งผลที่เป็นไปเพื่อความดีงามยิ่งแห่งตนและต่อผู้อื่น ไม่ได้เป็นไปเพื่อความกำเริบในกิเลสตัณหา และนี่คือ การอธิษฐานอย่างถูกต้อง
ต่างจากคำอธิษฐานของนักขอที่นอกจากจะส่งผลได้น้อยแล้ว ผลนั้นยังย้อนกลับมาเป็นคำอธิษฐานที่ทำร้ายตนในภายหลัง เช่น การอธิษฐานขอตามมาเกิดร่วมชาติร่วมภพอีก หรือการขอให้ร่ำรวย คำอธิษฐานเหล่านี้ล้วนพาให้ตนติดอยู่ในวัฏสงสารทั้งสิ้น
ดังนี้ การให้พรผู้อื่น เช่น ขอให้รวย จะไม่มีวันออกจากปากอาจารย์ในฐานะผู้สอนทางสู่การหลุดพ้นเลย เพราะการ อวยพรขอให้รวยก็ไม่ต่างอะไรกับการอวยพรว่าขอให้จม เพราะเมื่อใดที่รวย คนรวยก็มักติดกับดักของความมัวเมา อยากมีอำนาจ ติดลาภยศสรรเสริญ มากด้วยราคะตัณหายิ่งขึ้น จนพาตนให้เวียนจมอยู่ในชาติภพอยู่อย่างนั้น
คำอวยพรและคำอธิษฐานอันตรายนี้ ครูบาอาจารย์ ท่านจึงเลี่ยงที่จะไม่อวยพรให้ใคร แต่หากเห็นว่าผู้ใดมี ชีวิตอัตคัดหรือมากด้วยวิบาก ท่านก็จะอวยพรให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองแทน เพราะคำว่ารุ่งเรืองหมายถึง เมื่อ เป็นฆราวาส ชีวิตก็จะสมปรารถนา ทำสิ่งใดให้มีผู้เกื้อหนุน เพราะหากไม่มีคนหนุน ไม่มีคนเห็นคุณค่า ก็รุ่งเรืองไม่ได้ หากชีวิตมีแต่อุปสรรคก็รุ่งเรืองไม่ได้เหมือนกัน และหากเป็นนักบวชผู้หวังความรุ่งเรืองในธรรม ชีวิตก็จะได้พบความก้าวหน้าในธรรมเป็นลำดับขั้น ดังนั้น คำว่ารุ่งเรืองคำเดียว ครอบจักรวาลทุกอย่าง
ในการประกอบบุญใหญ่ เช่น การเข้าคอร์สปฏิบัติวิปัสสนา หรือการทำงานสละเพื่อพระศาสนาอันเป็นมหาบุญ เวลาอธิษฐานบุญจะมีกระแสคุณพระศรีรัตนตรัย พระสาวก ครูบาอาจารย์ เทพพรหม โอปปาติกะ มาร่วมอนุโมทนาบุญ ทุกชั้นฟ้า แล้วเวลาเหล่านักภาวนาอธิษฐาน ทุกพระองค์ และทุกท่านก็จะน้อมจิตฟังว่า ผู้มีธรรมเหล่านี้เขาปรารถนา สิ่งใดกันบ้างที่จะเกื้อหนุนให้ชีวิตเขารุ่งเรือง พอฟังแล้วหากอันใดที่จะช่วยได้โดยที่คนผู้นั้นไม่ติดวิบากจนเกินไป ท่านก็ จะรีบช่วยเหลือตามทิพยอำนาจทันที เพราะการช่วยเหลือผู้มีธรรม ย่อมเป็นการเพิ่มพูนพลังความดีให้มากยิ่งขึ้น และ ไหลเวียนต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย
หากเป็นผู้ที่สะสมกุศลมามาก จะได้เห็นการส่งผลที่เร็วมาก เช่น อาจารย์เคยคิดอยากได้พรมไว้ให้ศิษย์นั่งเวลามา สอบอารมณ์ รุ่งขึ้นก็มีศิษย์แบกพรมเปอร์เซียอย่างดีมาให้ ทั้งๆ ที่คิดอยู่ในใจ ไม่ได้บอกใครเลย คิดอยากได้อะไรก็มักได้ ไปเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ จนอดฉงนไม่ได้ว่าอะไรจะขนาดนั้น ซึ่งความคิดอยากได้ของอาจารย์ ไม่ใช่อยากแบบโลกๆ แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล ทีนี้ พอจิตเกิดคลื่นกระแสความคิด หากทวยเทวารับรู้ได้และ อยากมีส่วนในบุญ เขาก็ย่อมป่าวประกาศออกไปว่าท่านผู้นี้ปรารถนาสิ่งนี้ เขาก็ไปดลจิตดลใจคนนั้นคนนี้ที่มีธรรม มีกระแสต้องกันให้รีบมาช่วย
ตัวอย่างนี้เป็นแค่พลังความคิด ยังไม่ถึงขั้นอธิษฐาน คำว่าอธิษฐานคือการตั้งจิตปรารถนา ไม่ใช่แค่คิด คิดนี่คือ เผินๆ ผ่านๆ ไม่ได้จริงจังอะไร คือได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
หากเป็นพลังอธิษฐานที่มีการเตรียมจิตล่วงหน้า จะแคล้วคลาดไม่ได้รับผลไม่ได้เลย อย่างไรเสียต้องได้รับผล ตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่งตามกรรมที่ประกอบและเนื้อนาบุญที่ทำไว้ ในทางตรงกันข้าม คำอธิษฐานที่เป็นไปเพื่อความโลภ โกรธ หลง ฝั่งที่ได้ฟังคำอธิษฐานเหล่านี้ก็จะเป็นเทพฝั่งมาร ก็เท่ากับว่าไปเพิ่มพลังให้กิเลสมารเข้ามาฝังแฝงในดวงจิตตนมากขึ้น เรียกว่ากระแสจิตโน้มไปเป็นพวกของโลกียวิสัย โดยที่ตนไม่รู้เลย กระแสจิตจึงถูกโน้มดึงให้ไหลไปรวมกลุ่มกับผู้ที่ชอบแนวเดียวกัน แล้วก็พากันไปทำอะไรต่อมิอะไรในแนวโลกียวิสัย
ในการภาวนาทอนกระแสโลกียวิสัย อาจารย์ได้เข้าถึง มหาอาณาจักรแห่งความมัวเมาทุกรูปแบบ จิตบอกว่า “เมา และโสมม” จิตเกิดความรังเกียจในความสกปรก ความเมา นี่ก็คือ เมาโลภ เมาโกรธ เมาหลง เมาราคะ ผู้อธิษฐานใน ความหลงก็คือผู้ที่พาจิตเข้าสู่กระแสข่ายมารเช่นนี้
มีเรื่องเล่าเป็นเกร็ดถึงพลังแห่งการประกอบมหากุศลให้ฟัง เมื่อจบงานภาวนารวมพลังแล้ว ในคืนวันนั้นมีเทวดาและ โอปปาติกะเข้ามากราบอนุโมทนาบุญกับอาจารย์ในจิตมากมาย ในการมากราบได้นำพวงมาลัยอันประณีตมาด้วย ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ที่แปลกมากในคราวนี้ก็คือ เขานำเงินมาให้ด้วย ยื่นเงินมาให้เป็นปึกๆ เป็นแบงก์ที่เราใช้กัน อาจารย์เห็นเขา ยื่นอะไรมาก็ได้แต่อนุโมทนาในจิต ไม่ได้ไปรับอะไรทั้งสิ้น แล้วก็มานึกว่า เอ้อ โลกทิพย์ โลกวิญญาณนี่ก็แปลกนะ การทำบุญกุศลอะไรของเขาไม่ต่างกับโลกเราๆ เลย แล้วเอาเงินทิพย์มาทำบุญให้ จะยังไงล่ะเนี่ย แล้วขนาดโลกทิพย์ก็ยังมีใช้เงินกับเขาด้วย ประหลาดดี การที่เขานำมาให้แบบนี้ก็เพราะเทวดาและโอปปาติกะเขาปลาบปลื้ม ที่เห็นมนุษย์ผู้มีสังขาร ล้วนได้รู้จักการสละคืน เวลาเขามาร่วมงาน อาจารย์สอนอะไรให้มนุษย์ไป เขาก็ฟังและอยากทำตาม จะได้อานิสงส์เช่นนี้บ้าง จึงอยากสละคืนบ้าง เลยกลายเป็นการให้แปลกๆ แบบไม่เคยเจอ
ปีใหม่อันเป็นช่วงเวลาของการอธิษฐาน พึงตรองคำอธิษฐานของตนให้ดีก่อนตั้งจิตอธิษฐาน จงคำนึงถึง คิดถึง สิ่งที่จะส่งเป็นความดีงามอันถาวร อาทิ อธิษฐานถึงการเป็นผู้ไม่แพ้ต่อกิเลส อธิษฐานเพื่อชีวิตที่รุ่งเรือง เพื่อความมีกัลยาณมิตรอันประเสริฐ เพื่อการห่างไกลจากมิจฉาทิฐิ และสูงสุดคือเพื่อการพบธรรมอันเป็นแก่นให้ได้พ้นไปจาก วัฏสงสาร ไม่ใช่อธิษฐานขอให้รวย
พึงอธิษฐานให้ดีเถิด จิตที่ตั้งไว้ในธรรมอันดีแล้ว คำอธิษฐานย่อมสำเร็จได้ไม่กาลใดก็กาลหนึ่งอันใกล
อ่านฉบับเต็มได้ที่ นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ ฉบับที่ 54 สมัครสมาชิก คลิ๊กที่นี่