
กับการเต็มที่ในทุกก้าว บนเส้นทางชีวิตที่ไม่มีพื้นที่ให้คำว่า ‘เสียดาย’
เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว เฌอปราง อารีย์กุล ก้าวเข้าสู่วงการเพลงไทยตอนที่คำว่า “ไอดอล” ยังแทบไม่มีใครรู้จัก ใครจะไปคิดว่าสาวน้อยคนนี้จะกลายเป็น “แคปเฌอ” ของ BNK48 ที่เปลี่ยนความคิดของคนไทยเรื่องไอดอลไปตลอดกาล
ไอดอลสาย J-Pop อย่าง BNK48 เข้าถึงได้ง่ายและน่ารักเป็นมิตร ความตั้งใจจริงในการมอบความสุขให้แฟนๆ มากกว่าการโฟกัสที่ความสมบูรณ์แบบอย่างไอดอลสาย K-Pop จึงไม่แปลกใจว่าทำไม “พิเฌอ” จึงเป็นแรงบันดาลใจของเหล่าน้องๆ และโอตะ
สิ่งที่ประทับใจในตัวเฌอปรางที่สุดคือความเข้าใจตัวเองและความแกร่งระดับยอดมนุษย์ เธอยึดหลัก “ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน” และด้วยหลักนี้เอง เธอจึงจัดการตารางงานสุดโหดอย่างมีประสิทธิภาพ จนกลายเป็นหนึ่งในคนที่บริหารเวลาได้ดีที่สุด
ภายใต้รูปร่างเล็กๆ และรอยยิ้มหวาน ทาสแมวคนนี้ก็มีมุมเท่ จริงจัง ที่มาพร้อมความน่ารักและไม่สมบูรณ์แบบ เธอยอมรับว่า รักตัวเองแต่ก็มักไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นคนขี้เกียจแต่ทำงานได้มหาศาล ความจริงใจนี้ทำให้แฟนๆ ยิ่งรู้จักก็ยิ่งรักเธอ
อีกไม่กี่เดือน เธอจะบินไปเรียน MBA ที่ญี่ปุ่น โดยไม่กังวลว่าความดังจะแผ่ว หลังผ่านความสูญเสียครั้งใหญ่ เธอตระหนักว่าชีวิตแสนสั้น ต้องใช้ให้คุ้มค่าและจงไล่ตามความฝัน แม้ปีหน้าจะย่างเข้าเลข 3 แต่สำหรับเธอแล้ว 30 ก็แค่ 20 รอบใหม่เท่านั้นเอง
ปีหน้าก็ขึ้นเลข 3 แล้ว รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ
ยังรู้สึกเด็กอยู่เลยค่ะ (หัวเราะ) รู้สึกว่าก็ไม่ได้ต่างจากตอนนี้ เพราะรู้สึกว่ายังมีอะไรที่ให้เราได้เรียนรู้แล้วก็มีประสบการณ์ใหม่ๆ ที่อยากพัฒนาต่อไปอีกเรื่อยๆ เยอะแยะเลย อาจจะพูดหน้ากล้องเก่งขึ้น เช่นวันนี้ที่สามารถพูดได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น (ยิ้ม) หรือบุคลิกภาพดีขึ้น การแต่งหน้าเก่งขึ้น แล้วก็การดูแลตัวเองที่ค่อนข้างจะเปลี่ยนแปลงมาจากวัย 20 ปี
ทราบมาว่ามีแพลนไปเรียนต่อต่างประเทศเร็วๆ นี้ด้วย เรียนด้านอะไรคะ
เรียนต่อในด้าน MBA เพื่อให้มั่นใจว่า ถ้าฉันจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ฉันจะได้มีความรู้ที่ครบรอบด้านมากกว่านี้ คือมันจะ ลุยทำเลยก็ได้ แต่ว่าแค่อยากทำให้มันดี แล้วก็เฌอไม่ได้เรียนมาก่อนในเรื่องนี้เลย ก่อนหน้านี้เรียนสายวิทยาศาสตร์ จะทำโปรเจ็กต์ ทำ Paper มากกว่า แล้วก็ตอนที่เป็นผู้จัดการวง BNK ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ก็มักได้ทำงานเรื่องการบริหารจัดการคนมากกว่า ไม่ได้เข้าไปอยู่ในมุมของการบริหารบริษัท
การเรียนต่อครั้งนี้ยังเป็นการขอพักเบรกด้วย ซึ่งเฌอจะลุยเลยก็ได้ แต่ขอไปเรียนสักปีหนึ่งก่อน ซึ่งก็คือเป็นการเรียนป.โท MBA แล้วทางนั้นก็ให้โอกาสเฌอเป็น Brand Ambassador ด้วย เฌอก็ดีใจมากๆ ในส่วนนี้ที่ได้มีอะไรทำไปด้วย
จำได้ว่าเฌอบอกว่า การมีอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตพร้อมกัน ทำให้ทุกสิ่งออกมาดี แต่ถ้าทำอย่างเดียวแล้ว กลับออกมาไม่ดี
ใช่ค่ะ มันทำให้ตั้งใจทำและจัดการชีวิตได้ดีขึ้น ซึ่งมันจะบังคับว่าต้องทำแต่ละอย่างในกรอบเวลาที่มีให้ดีที่สุด เพราะบางที มันก็ย้วยเกินไป กลายเป็นว่าเฌอชิลกับตัวเองเกินไปแล้ว บางทีถ้าผ่อนผันตัวเองบ้างก็อาจจะดีก็ได้นะคะ แต่ว่าสำหรับเฌอตอนนั้น ที่เรียนอย่างเดียว กลายเป็นว่าเกรดมันตก ตกใจมาก รู้เลยว่าไม่ได้แล้ว ก็เลยกลับมาทำ ทั้งเป็นคณะกรรมการรุ่น แล้วก็เรียนไปด้วย เอาจริงๆ เฌอก็งงเหมือนกันทั้งๆ ที่ควรโฟกัสทีละอย่างนะ กลายเป็นว่ามันส่งผลดีมากกว่า
มากสุดทำกี่งานพร้อมกันคะ
ก่อนหน้านี้ก็ทำทั้งงานแสดง แล้วก็งานเบื้องหลังคืองานผู้จัดการวงด้วยนะคะ จริงๆ ช่วงปีแรกๆ ใน BNK48 ก็คือทั้งร้อง เต้น แล้วก็เป็นกัปตันด้วย แล้วจากนั้นก็เริ่มเป็นนักแสดงเรื่อง Homestay ตอนนั้นยังเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งช่วงนั้นเราต้องขับรถไปกลับจากมหาวิทยาลัยไปซ้อมที่บางกะปิทุกวัน อันนั้นก็คือ 3 จ็อบ ตอนนั้นจะตายจริงๆ ค่ะ (หัวเราะ)
สำหรับคนที่ยอมรับเองว่าเป็นคนขี้เกียจ ต้องถือว่าเป็นคนขี้เกียจที่มี Productivity สูงมาก
เพราะขี้เกียจ เวลาพักก็อยากพักแบบสบายๆ เลยอยากทำทุกอย่างให้มันเสร็จ แต่ทำทุกอย่างให้มันเสร็จของเฌอไม่ชอบทำลวกๆ อยากทำงานให้มันดี ตัวเฌอมีความเป็น Perfectionist เพราะฉะนั้น เฌอจะหาวิธีที่ทำให้งานเสร็จได้เร็วที่สุด และดีที่สุด เพื่อที่จะได้ไปพักและขี้เกียจได้อย่างเต็มที่ ไปอ่านหนังสือหรือดูอนิเมะได้เต็มที่อะไรอย่างงั้น แต่ว่าก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น งานมันต้องดีก่อน จะได้สบายใจว่าฉันทำงานแล้ว อาจไม่ต้องดีมาก แต่ต้องอยู่ในเกณฑ์ดี
อย่างน้อย พ่อแม่ลงทุนให้เราแล้ว ก็ควรจะทำให้ดีที่สุด โอกาสที่ได้มาในแต่ละอย่าง เราไม่รู้หรอกว่าต่อไปในอนาคต จะได้ใช้มันไหม แต่อย่างน้อยเราทำให้ดีที่สุดวันนี้ เผื่อก่อนดีกว่า ซึ่งการเผื่อของเฌอหลายๆ ครั้งก็มีประโยชน์มากๆ เช่น ตอนเรียนปี 1 ปี 2 เฌออยากรู้ว่าในอนาคต เรียนสาขาวิทยาศาสตร์ จะทำงานอาชีพอะไรได้บ้าง เลยไปคุยกับอาจารย์ว่า มีอะไรให้ช่วยไหม หนูอยากเรียนรู้สายงานนี้ว่ามันต้องทำงานอะไร อย่างไรบ้าง จนได้เป็นผู้ช่วยวิจัยแล้วก็ตีพิมพ์ paper วิจัยเสร็จไป 2 papers อาจารย์ใส่ชื่อใน papers ที่ตีพิมพ์ในฐานะผู้ร่วม วิจัยค่ะ กลายเป็นว่า ปี 3-4 ที่ยุ่งมากๆ กับวงการบันเทิงและ เป็นช่วงที่ต้องทำงานวิจัยและเขียน paper ส่ง สิ่งที่เราทำเฉยๆ เพื่อเรียนรู้ กลายเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตได้สุดๆ ที่จริงแล้ว หลายสิ่งในชีวิตมักจะเกิดขึ้นด้วยการที่ทำเผื่อไว้แล้ว และเป็นผลของที่เวลาเราทำ อะไร เรามักจะใส่มาเต็มที่ด้วย
ดูเนื้อหาทั้งหมดโดยการสมัครสมาชิก หรือซื้อที่ Shopee