Skip to content Skip to footer

แกะดำ หรือผู้กล้า

ในหมู่เสื้อกาวน์ กับการตั้งคำาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

DR ATTAPOL SUKONTHAPIROM NA PATTALUNG

อาจารย์ นายแพทย์อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง

อาจารย์ประจำาภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


เคยมีคนถามอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ อัจฉริยะผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพว่า เขาจัดการกับ ข้อมูลจำานวนมหาศาลได้อย่างไร คำาตอบของเขาคือ ถ้าเขา มีเวลา 1 ชั่วโมงเพื่อแก้ปัญหาที่คอขาดบาดตาย เขาจะให้เวลา 55 นาทีคิดว่าต้องถามอะไรเพื่อให้ได้คำาตอบที่ถูกต้อง เช่น เดียวกับคาร์ล จุง บิดาแห่งนักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ผู้กล่าว ว่า “การถามคำาตอบที่ถูกนั้นได้แก้ปัญหาไปแล้วครึ่งหนึ่ง”

เช่นเดียวกับนายแพทย์อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์ประจำาภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ใครที่ตามข่าวโรคระบาดโควิด-19 และวัคซีนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คงไม่พลาดที่จะได้ยินชื่อของ คุณหมอ ท่านคือหนึ่งในบุคลากรทางการแพทย์ที่ออกมาให้ ข้อมูลเรื่องนี้โดยเนืองๆ และพูดได้ว่าเป็น second opinion หรือความเห็นที่ 2 ต่อแนวทางการจัดการกับวิกฤติโรคระบาด หลายคนคงนึกสงสัยว่า อาจารย์จิตเวชศาสตร์ทำาไมออกมา พูดเรื่องนี้อย่างแข็งขัน พร้อมกับกล้าโต้แย้งกระแสความเห็น ส่วนใหญ่ชนิดไม่ถอย

เพราะอะไรคุณหมอถึงออกมาพูดเรื่องโควิดและเรื่องวัคซีนโดยเฉพาะวัคซีนในเด็กคะ

คือผมเป็นจิตแพทย์ แต่เป็นจิตแพทย์ที่เรียนเรื่อง พันธุกรรม คือไม่ได้เป็นจิตแพทย์ปกติ ผมทำา 2 อย่าง คือ วิชาว่าด้วยการทำายาด้านจิตเวช และก็วิชาที่ว่าด้วยพันธุกรรม เกี่ยวกับด้านจิตเวช คือพันธุกรรมศาสตร์ แต่มันมีเหตุบังเอิญ ที่ไม่บังเอิญ คือผมไปเจอกับคนหลายคน หนึ่งในนั้นเป็นนักฟิสิกส์ แล้วเขาทำาให้เราตื่น (หัวเราะ)

ให้เรารู้ว่าโลกนี้มันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด มันโยงไปที่ เหตุการณ์ 9/11 คือตอนนั้นผมเรียนอยู่ที่อเมริกา แล้วเห็น ตอนเครื่องบินชนตึกและอะไรหลายๆอย่าง พอได้รู้แล้วว่า โลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด ก็บังเอิญไปเจอกับยาซึ่งคนไทย ผลิต เรียกว่ายาแผนอนาคต มันทำาให้เราเริ่มเปลี่ยนความคิด จากเดิมที่เราไม่ได้สนใจ แต่พอได้กินยานั้น ซึ่งจริงๆมันคือ อาหารเสริม เป็นยาที่ออกฤทธิ์บนรหัสพันธุกรรม คนที่ทำา เขาพยายามคุยกับหมอหลายคน แต่ไม่มีใครเข้าใจ ด้วยความ โชคดีที่ผมเรียนพันธุศาสตร์ (Genetic) ทำาให้ผมเข้าใจว่า เขาทำาอะไรอยู่

ตอนแรกผมก็ไม่สนใจ แต่เพราะก่อนหน้านี้ผมแพ้ถั่วลิสง ตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งไปกินยาตัวนี้มาเมื่อ 10 กว่าปีก่อน คือ กินไปสักประมาณเดือนกว่าๆ ก็ไปกินถั่ว แล้วก็ไม่มีอาการแพ้ อย่างที่เคยเป็น ด้วยเหตุนั้นก็เลยตั้งคำาถามกับตัวเองว่า เฮ้ย เขาทำาอะไรเนี่ย เพราะปกติมันไม่ควรจะหาย สุดท้ายก็เลยรู้ว่า มันเกี่ยวกับเรื่องพันธุกรรม แต่ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาทำา แกก็ เลยชวนผมว่ามาช่วยหน่อย ผมก็เลยเลือกมารักษากับแพทย์ ทางเลือก

อีกเหตุผลคือ ที่โรงพยาบาลจุฬาฯมีศาสตราจารย์จาก เบลเยียมติดต่อมาว่าจะมาเป็นอาจารย์พิเศษให้ เราก็ขอดู ประวัติเขา ปรากฏว่าเขาเป็นคนที่ทำาวิจัยเยอะมาก ติด 1 ใน 100 คนที่ได้รับการทำานายว่าน่าจะเปลี่ยนโลก แล้วสิ่งที่เขาทำา คือเรื่องการอักเสบ ที่อธิบายว่าเป็นสาเหตุของการเกิดโรค ทางจิตเวช ซึ่งเป็น concept ใหม่มากในตอนนั้นเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ก็เลยได้เข้าไปอยู่ในกระบวนการรักษาที่เน้นใน เรื่องของการใช้ภูมิคุ้มกัน ก็เลยเริ่มมี connection กับเครือข่าย ที่ทำาเรื่องพวกนี้ แล้วหนึ่งในเครือข่ายที่ทำาก็บังเอิญเป็นหมอที่ เก่งมากในอเมริกา แล้วเขาได้ค้นพบวิธีการรักษามะเร็ง ซึ่งเป็น วิธีที่น่าสนใจมาก คือเขาไปเจอสารตัวหนึ่งในปัสสาวะ สารตัว นั้นนำามาใช้รักษามะเร็งได้ ที่เราสนใจก็เพราะพระพุทธองค์ตรัส บอกว่าในน้ำามูตรเป็นยา คือมีโปรตีนที่จะสามารถรักษาได้ แต่ สิ่งที่เขาได้รับหลังจากที่เขาค้นพบเรื่องนี้ก็คือ เขาถูกกลั่นแกล้ง สารพัดอย่าง ทำาให้เราเห็นภาพที่แท้จริงว่า กระบวนการ FDA ต่างๆ มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด

เลยเป็นเหตุผลที่ออกมาพูดเรื่องโควิด

ช่วงแรกของการที่รู้เรื่องมันก็มีอะไรที่น่าสงสัยอยู่แล้วนะ ถ้าจำาได้ ประเทศไทยค่อนข้างจะหละหลวมมาก ตอนนั้น โรงพยาบาลจุฬาฯก็ยังไม่ได้เตรียมตัวทำาอะไร ตอนนั้นที่จีน สร้างโรงพยาบาลเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แต่บ้านเรายังชิลๆ อยู่ แล้วตอนนั้นก็มีคุณหมอผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่าโรคนี้ไม่ ติดต่อ ไม่ต้องกลัว แต่ผมบอกว่าเป็นไปไม่ได้ จีนยังทำาขนาด นั้น แล้วในช่วงแรกมีนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดียตีพิมพ์ผลวิจัย ฉบับหนึ่งว่า หลังจากวิเคราะห์พันธุกรรมของไวรัสตัวนี้ บอกว่า มีลักษณะของพันธุกรรมที่ไม่เหมือนกับการเกิดตามธรรมชาติ แต่เหมือนเกิดจากการตัดต่อยีน ทำาให้ผมเห็นลักษณะอะไร บางอย่างที่ไม่ตรงไปตรงมา ด้วยเหตุนี้ก็เลยเริ่มสงสัย แต่ก็ ไม่ได้เชื่อทุกอย่างที่เขาพูด พอมีอะไรเกิดขึ้นก็พยายามทบทวน ว่าอันไหนเป็นเรื่องจริงไม่จริง เลยเป็นที่มาที่ทำาให้เริ่มสงสัยและ ตั้งคำาถาม แล้วก็เริ่มหาข้อมูล

มีความเห็นอย่างไรต่อการฉีดวัคซีน หมายถึงวัคซีนโดยรวม

ผมก็ให้ลูกฉีดวัคซีนตอนเขาเกิด แล้วตัวเราก็ฉีดตอนเด็ก เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้ที่ผมสนใจเรื่องการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ก็ได้รู้เรื่องลับลมคมในในวงการยา เยอะ ยกตัวอย่างเช่น ผมสนใจเกี่ยวกับเด็กที่เป็นออทิสติก ก็พบว่ามันมีความเกี่ยวโยงกัน สรุปสั้นๆก็คือ เราก็ได้ข้อมูล ที่มาสนับสนุนหลายๆอย่างในคำาถาม แล้วก็มีคำาอธิบายทาง วิทยาศาสตร์ที่มีความเป็นไปได้สูงและสมควรแก่การค้นคว้าต่อ ในกรณีเช่นนี้ ในแง่วิชาการมันควรจะหาความจริง ไม่ใช่ปฏิเสธความจริงแล้วปิดทุกอย่าง มันควรจะทำาวิจัยและมี คำาตอบให้ชัดว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ที่พวก Mainstream หรือ FDA ทำา มันเป็นการพยายามกลบเกลื่อน แล้วก็มีการ บิดเบือนข้อมูลทางงานวิจัยหลายๆอย่าง ก็เลยทำาให้เห็นว่า จริงๆสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นความจริง มันไม่ได้เป็นความจริง เสมอไป แล้วองค์กรที่น่าจะต้องปกป้องผู้บริโภคก็ไม่ได้ทำา หน้าที่นั้นเสมอไป เราเริ่มเห็นความเชื่อมโยงระหว่างองค์กร เหล่านี้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ เห็นความเชื่อมโยงของผลประโยชน์ ที่เกิดขึ้น คือจริงๆเห็นมาก่อนที่จะมีปัญหาเรื่องโควิดเสียอีก เพราะว่ามันมีมาก่อนของมันอยู่แล้ว

สิ่งที่พ่อแม่ควรจับตาดูลูกหลังได้รับวัคซีนแล้ว

อันแรกคือทำาให้ภูมิคุ้มกันมีปัญหา ซึ่งถ้าภูมิคุ้มกันมีปัญหา เด็กก็จะมีโรคหลายอย่างตามมา อันที่สองคือ มีโรคโรคหนึ่ง ที่มีผลต่อสมอง เพราะ Spike Proteins ไปรบกวนการทำางาน ของหลายระบบ ตัวมันมีลักษณะหนึ่งที่อาจจะทำาให้เกิดโรควัวบ้า สุดท้ายคือมันจะมีผลกับระบบสืบพันธุ์ซึ่งเป็นผลระยะยาว

ทีนี้ประกอบกับข้อมูลทางระบาดวิทยา ช่วงแรกผมพูดเยอะ มากว่า ทำาไมหลังฉีดวัคซีนแล้วคนไทยตายมากขึ้น นี่เป็นข้อมูล ที่มีสถิติจากสำานักงานสถิติแห่งชาติ คือ คนไทยตายเพิ่มขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้ว ถ้าวัคซีนช่วยได้จะต้องตายน้อยลง ที่ตาย เพิ่มขึ้นนี่คือไม่ใช่จากโควิดนะ แต่จากโรคอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ ไปหมด ณ ปัจจุบันนี้ ทุกเดือนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ปีนี้คนไทย ตายมากกว่าทุกๆ ปี ตั้งแต่มกราคม 65 ไล่มาทุกเดือนเลย คือทุกเดือนของปี 65 มียอดคนตายสูงกว่าทุกเดือนของปีที่ ผ่านมา หรือย้อนกลับไป 5 ปีหมดเลย เป็นไปได้ยังไง

ข้อมูลนี้ไม่ใช่ข้อมูลที่เกิดขึ้นแค่ในเมืองไทย ในต่างประเทศ ก็เจอแบบเดียวกัน บางประเทศพบข้อมูลการป่วยบางอย่าง วันก่อนผมดูเรื่องของการเคลมเงินประกันชีวิต เงินประกันชีวิต บางบริษัทเพิ่มขึ้น 160 กว่าเปอร์เซ็นต์ อัตราการตายในกลุ่ม อายุที่เป็นวัยทำางานที่ทำาประกันภัยกลุ่มเพิ่มขึ้น 40% หลังจาก มีการฉีดวัคซีน ซึ่งเขาไม่เคยเจอมาก่อน

ทำาอย่างไรให้คนเลิกกลัวและหันมาตั้งคำถามหาข้อมูลคะ

นี่เป็นสิ่งที่ผมว่าเป็นปัญหามากๆ นอกเหนือจากการออก ข่าวออกสื่ออะไรต่างๆ อย่างหนึ่งคือเขาใช้วิธีการทางจิตวิทยา ซึ่งคนหลายคนไม่เข้าใจว่าทำาไปเพราะอะไร นั่นก็คือการให้ใส่ หน้ากาก เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะกระบวนการใส่หน้ากาก เป็นการเตือนผู้ที่ใส่ว่า ให้คิดอยู่เสมอว่าอากาศรอบตัวอันตราย ใครก็ตามที่ถูกให้อยู่ในสภาวะที่รอบตัวอันตราย ในใจจะเกิด ความกลัวโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว และเป็นความกลัวความกังวล ที่ฝังลึก

คนที่มีความกลัวอยู่ในใจเป็นพื้นฐานก็จะไม่กล้าทำาอะไร หลายๆอย่าง กระบวนการใส่หน้ากากนี่มีผลทางจิตวิทยา มัน คือการปิดปากดีๆนี่เอง ปิดปากเพื่อไม่ต้องพูด ไม่ต้องถาม ไม่ต้องเถียง ไม่ต้องแสดงความคิดเห็น มีหน้าที่ฟังกับรับคำาสั่ง แค่นั้น ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่ามันจะมีผลในระยะยาว

เรื่องของเด็กคือสิ่งที่ผมต้องออกมาพูด เวลาที่เด็กไป โรงเรียน การได้เห็นหน้าคนเป็นการเรียนที่สำาคัญมาก เพราะ เขาจะได้เรียนรู้เรื่องอารมณ์ หลายคนบอกว่าอยากให้ลูกมี EQ ที่ดี แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่ทำาอยู่นั้นทำาให้ EQ มันแย่ลง เพราะเด็ก ไม่สามารถเดาได้ว่าคนที่เขากำาลังพูดอยู่กำาลังรู้สึกอะไร และ มีผลระยะยาวไปตลอดชีวิต

มีงานวิจัยของอเมริกา มีตำาบลหนึ่งบังคับให้เด็กใส่หน้ากาก อีกตำาบลหนึ่งไม่มีนโยบายบังคับ อัตราการติดเชื้อเท่ากันเป๊ะ ไม่ต่างกันเลย บางช่วงกราฟของตำาบลที่บังคับใส่หน้ากากสูง กว่าด้วยซ้ำา งานวิจัยเยอะแยะมากบอกว่ามันไม่ได้ผล แต่ เพราะความกลัวก็ยังบังคับให้เด็กใส่ ซึ่งประโยชน์ก็อาจจะไม่ได้ และต่อให้มันไปกันได้ ก็ต้องถามว่ามันกันอะไร เด็กๆป่วยโรค หวัดเป็นปกติและไม่ใช่โรคอันตราย เรากำาลังสอนให้เด็กกลาย เป็นคนที่ต้องกลัวตลอดเวลา และยังทำาให้เกิดการรังเกียจ ไม่ พอใจเด็กที่ไม่ได้ใส่หน้ากาก มีกระบวนการคุณครูเอาเด็กมา ประณาม มีการกีดกัน มีการบูลลี่

ภูมิคุ้มกันนั้นเหมือนกับกล้ามเนื้อนะครับ การออกแรงทำาให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ถ้ากล้ามเนื้อไม่ได้ออกแรง จับนั่งเฉยๆ ไม่ต้องขยับเลย สุดท้ายกล้ามเนื้อจะฝ่อ ภูมิคุ้มกันก็ไม่ต่างกัน เราถึงต้องบอกให้เด็กเล่นดินเล่นทราย ถ้าลองเอาเด็กไปขังในที่ ที่ไม่มีเชื้อเลย วันหนึ่งถ้าเราปล่อยเด็กคนนั้นออกมาข้างนอก พอมาเจอเชื้อเด็กคนนั้นจะติดเชื้ออย่างรุนแรงและเสียชีวิตได้เลย เพราะภูมิเขาอ่อนแอมาก การใส่หน้ากากยังทำาให้ออกซิเจนต่ำา มีผลต่อการทำางานของสมอง ทำาให้คาร์บอนไดออกไซด์สูง มีผลต่อการทำางานของเซลล์ในร่างกาย

คิดว่าน่าจะได้ถอดหน้ากากเมื่อไหร่คะ

ตอนนี้ผมถอดแล้วนะ คือเมื่อไหร่ที่เราหายกลัว เราก็ถอด ได้เมื่อนั้น เมื่อเราเข้าใจ เราก็ถอดได้ทันที เรื่องเดียวที่ทุกคน จะต้องใส่ก็คือคนป่วย เพราะว่าถ้าท่านป่วย ไอ จาม ท่านก็ ควรใส่ เพราะจะได้ช่วยป้องกันคนอื่นๆทั่วโลกให้เป็นโรค ประจำาถิ่นแล้ว แต่ความเข้าใจตรงนี้ยังต่ำามาก แล้วก็ยังถูก ครอบงำาด้วยบริษัทยา เร็วๆ นี้ก็มีการบอกว่ายาบางตัวเป็น ยาเทพ คือ โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) หลายคนไม่รู้ว่า กลไกการออกฤทธิ์ของยาตัวนี้คือทำาให้ไวรัสกลายพันธุ์ คือเป็น ยาที่ทำาให้เกิดการกลายพันธุ์ แล้วเราก็บอกว่า โอ๊ย เดี๋ยวเชื้อ มันจะกลายพันธุ์ อ้าว ก็เรากินยาที่ทำาให้เชื้อมันกลายพันธุ์ เองนี่ (หัวเราะ) แล้วกระบวนการกลายพันธุ์จะเป็นกระบวน การรบกวนการถอดรหัสพันธุกรรม