Skip to content Skip to footer

คำ ที่ควรถาม

เมื่อได้เจอศิษย์ที่อุทิศตนทำงานในส่วนของโนอิ้ง บุดด้า ที่งานผ้าป่า ที่หาดใหญ่ เธอก็รายงานการประสานงานกับส่วนต่างๆ มากมาย หลายขั้นตอน อาจารย์ก็รับฟังไปตามครรลอง จากนั้นจึงถามว่า “สงกรานต์นี้ ไปเที่ยวไหน” ศิษย์มองหน้าแบบงงๆ ว่า ทำไมท่านอาจารย์ไม่ถามเรื่องที่ รายงานมา แต่กลับมาถามเรื่องส่วนตัว อาจารย์บอกว่า “ไปถามคนที่บ้าน นะว่า ใกล้สงกรานต์แล้ว เราไปพักผ่อนที่ไหนกันดี”

อาจารย์สอนว่า นี่คือความสมดุล อย่าเอาแต่มาช่วยงานจนลืมความรู้สึก ของคนที่บ้าน การแสดงความรัก ความเข้าใจ ความรู้สึกต่อกัน บางครั้ง แค่ประโยคสั้นๆ ก็คือทุกอย่างแล้ว “สงกรานต์นี้เราไปพักผ่อนที่ไหนกันดี” ประโยคนี้แทนความรู้สึกที่หลากหลาย เป็นการบอกว่า เราห่วงความรู้สึก ของคุณและลูกๆ เราอยากให้คุณมีความสุขในแบบที่ไม่แปลกแยก แบบที่ มนุษย์โลกเขาเป็นกัน และตัวเราก็พร้อมกับการไปพักผ่อน ไปมีโมเมนต์ดีๆ มี quality time กับครอบครัว ไม่ใช่พูดแต่เรื่องไปวัดกับปฏิบัติธรรม หรือ วางแผนมาทำงานอาสา

หากตัวเราซึ่งเป็นนักภาวนาเป็นคนเอ่ยคำถามนำขึ้นมา เอง ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเราเข้าถึงคำว่า “สมดุลและทาง สายกลาง” ไม่เป็นผู้สุดโต่งที่มุ่งหน้าเดินไปสู่เป้าหมายของ ตัวเอง โดยทิ้งคนที่เราบอกว่าจะอยู่ดูแลเขาให้กลายเป็น ตัวประกัน เพื่อให้ดูเสมือนหนึ่งว่าเราไม่ได้ทิ้งครอบครัว ออกบวช เรายังเป็นผู้ครองเรือน แต่ไม่เคยครองเรือน จริงๆ เลย ได้แต่มุ่งหน้าเดินไปตามเป้าหมายของตน โดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้ที่ตนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา

ธรรมะนั้นมีหลายระดับ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูง เราจะมุ่งแต่ขั้นสูง แต่ทิ้งคนที่เขาอยู่ข้างชีวิตเราที่ยังต้องการ ก้าวแรก ก็หาได้ไม่ เมื่อคิดว่าตนปฏิบัติธรรมขั้นสูง แต่ทาง สายกลางกลับไม่เข้าใจ ก็แสดงว่าเราไม่เข้าใจธรรมที่กำลัง ปฏิบัติอยู่ ในการใช้ชีวิตที่สมดุล การพักผ่อนไม่ใช่ความผิด การไม่พักแล้วทำแต่งานนี่สิผิด ผิดมาก ไม่ว่าจะงานทาง โลกหรือทางธรรม เพราะคือการไม่เดินอยู่ในทางสายกลาง

เตโชวิปัสสนาทำให้ผู้เข้ามาสู่ทาง ที่เสมือนผู้ที่เคยติด อยู่ในคุกมืดยาวนาน เมื่อได้รับการเปิดปัญญาธรรม ได้พบ แสงสว่าง จิตที่เคยถูกคลุมไว้ด้วยอวิชชาจึงเปลี่ยนจากเดิม ชนิดสว่างโพล่ง ที่เคยถูกลวงให้มัวเมาหลงทำผิดศีลได้ เกือบทุกข้อ ก็อยากลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองในแบบที่คน รอบข้างตั้งตัวไม่ติด จนทำให้คนที่เข้าไม่ถึงสภาวะนี้คิดว่า นี่คือความหลง แต่จริงๆ มันไม่ใช่ความหลง แต่เป็นการ ตื่นจากความมัวเมา คือ AWAKEN FROM MADNESS เลยมุ่งมั่นคิดแต่จะทำความดี เพราะเมื่อก่อนไม่เคยทำจริงๆ ได้แต่ทำทุกอย่างเพื่อสนองตัณหาตัวเอง แต่พอจิตโผล่ขึ้น พ้นน้ำครำ มันจึงอยากเปลี่ยนตนเอง ไม่อยากทำผิดศีล ไม่อยากดื่มเหล้า ลดละนันทิได้รวดเร็ว แต่การเปลี่ยนแปลง ระดับนี้ คนที่รอเราอยู่ที่บ้านซึ่งเขายังห่างจากการภาวนา เขางงไปหมด เกิดอะไรขึ้น 7 วันเปลี่ยนชีวิต แต่กลับเป็น การเปลี่ยนของตัวคนเดียว โดยสร้างความอึดอัดและตั้งรับ ไม่ทันแก่เขา การไม่อยู่ในทางสายกลาง ไม่ค่อยๆ ปรับ เปลี่ยนในเรื่องของเวลาและสิ่งที่มองเห็นจากภายนอก นี่คือปัญหา เป็นการขาดความสมดุล

การจะหักดิบพลิก 360 องศานั้น จะประเสริฐที่สุด หากเกิดขึ้นกับบรรพชิตที่ไม่มีบ่วงทางโลก แต่ในฐานะของ ผู้ครองเรือนที่ยังยอมรับการมีภาระและมีบ่วงทางโลก การ ประนีประนอม ถนอมน้ำใจของผู้ที่อยู่อาศัยด้วย คือความ จำเป็น คือวิถีของทางสายกลาง ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความ เข้าใจ อาจารย์อยากให้ทุกคนกลับไปอ่านหนังสือฆราวาส บรรลุธรรม 1 บทที่ 8 เริ่มชีวิตบทใหม่ ดูว่าอาจารย์ ค่อยๆ ปรับอย่างไร

การเปลี่ยนแบบสุดโต่ง การไม่ประนีประนอม ไม่อยู่ใน ทางสายกลาง กลายเป็นปัญหาใหญ่ของฆราวาสนักภาวนา อาจารย์สอนเสมอว่า จงอยู่กับขณะ และให้คุณค่ากับคนที่อยู่เบื้องหน้าให้มากที่สุด เพราะนั่นอาจคือครั้งสุดท้ายที่ ได้อยู่กับเขา ขอให้อยู่กับเขาจริงๆ พระพุทธองค์ทรงสอน เรื่องทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา โดยไม่ให้ติดทุกข์ คือ อัตตกิลมถานุโยค คือ การทำตนให้ลำบากเกินไป ส่วน การไม่ให้ติดสุข กามสุขัลลิกานุโยค คือ การพัวพันใน กามคุณ ติดสุขติดความสบายจนแกะออกจากกันไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสบายหรือพักผ่อนหย่อนใจบ้าง ไม่ได้ ทำได้แต่ต้องพอดี และต้องไม่ให้จิตดิ้นรนเมื่อไม่ได้รับ ความสบายที่เคยชิน ต้องทำให้เหมาะแก่ฐานะของตน การ เดินอยู่ในทางสายกลาง คือ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา การไม่ให้ติดทุกข์ อย่าสับสนกับการเคี่ยวกรำจิต การเคี่ยวกรำจิตอย่างยิ่งจริงจังในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น การเข้าคอร์สภาวนา เพื่อปรับเปลี่ยนนิสัยจิตและเพิ่มกำลัง จิต ไม่ได้เคี่ยวกันตลอดเวลาเหมือนที่เขาหลงทรมานตนเอง เปรียบเหมือนนักกีฬาที่ต้องไปฝึกฝนตัวเองก่อนจึงจะได้ชื่อว่า เป็นนักกีฬา ต่อเมื่อใช้ชีวิตปกติแล้วก็ฝึกฝนสติสัมปชัญญะ คือการรู้ชัด และแบ่งเวลาภาวนาอย่างมีวินัย ไม่ใช่ภาวนา ตลอดเวลา มีหน้าที่ทางโลกอะไรที่ต้องทำก็ทำไป

ยามนี้เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของปีแล้ว ควรถามตัวเอง หรือถามครอบครัวว่า “สงกรานต์นี้ เราไปพักผ่อนที่ไหนดี” เพียงนี้เท่านั้น โลกทั้งใบที่อาจเคยเอียง เคยบิดเบี้ยว หรือ ตึงสุดโต่งในความรู้สึกของคนอื่น จะกลับมาสู่ความสมดุล ความรู้สึกน้อยใจ ไม่ได้รับการเหลียวแล ถูกหักดิบ หรือ กลายเป็นตัวประกันของบ้าน จะถูกแทนที่ด้วยความรัก และความเอื้ออาทร

วางแผนไปเที่ยวซะนะ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ต้องรักษาศีล ให้บริสุทธิ์ วางจิตให้รู้ชัดอยู่เสมอ จิตที่หนักแน่นมั่นคง ไม่ว่าสถานที่เบื้องหน้าจะงดงามพียงใด ก็ทำตัวเป็นนัก ท่องเที่ยว รู้สึกสุขแล้วก็วาง รู้สึกทุกข์ก็อย่าให้ติดค้างใจ การเป็นฆราวาสบรรลุธรรม หาใช่แค่การมีหน้าที่ดูแล ครอบครัวด้านความเป็นอยู่อย่างเดียว การดูแลทางใจ ต่างหากที่สำคัญที่สุด ดั่งคำที่ว่า คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก

“สงกรานต์นี้ไปพักผ่อนที่ไหนกันดี”

เมื่อเราเข้าใจเขา แล้ววันหนึ่งเขาจะเข้าใจวิถีของเรา เขาจะรู้ว่า….ธรรมะไม่ได้ขโมยสิ่งใดไปจากชีวิต แต่กลับนำ� สิ่งที่ดีที่สุดที่ไม่เคยเข้าถึงมาสู่ชีวิตของกันและกันต่างหาก