
อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล
อากาศร้อนแบบนี้ คงไม่มีเรื่องใดเขียนแล้วเย็นจิตเย็นใจได้ ยิ่งไปกว่าเขียนเรื่องของบุญ ขอเชิญทบทวนด้วยตนเองว่าบุญกิริยาวัตถุ 10 มีอะไรบ้าง สำหรับบทนี้ขอเน้นไปที่ส่วนของการทำทาน ซึ่งมี 4 ประการ คือ 1. อามิสทาน คือ ทานที่เป็นข้าวของเงินทอง 2. วิทยาทาน 3. ธรรมทาน 4. อภัยทาน
องค์ประกอบของการทำทานที่ทำให้ได้อานิสงส์สูง คือ 1. วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์ 2. เจตนาที่ให้ต้องบริสุทธิ์ ไม่ทำเพื่อต้องการให้ได้ชื่อเสียงหรือเพื่อหาเสียง แต่เป็นการทำด้วยจิตศรัทธาอยากเกื้อกูลผู้อื่น 3. บุคคลบริสุทธิ์ ผู้รับทานเป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์ นี่ว่ากันแบบตำราล้วนๆ เลย
ทีนี้มากล่าวถึงเส้นทางเดินของบุญ โดยจำจะต้องยกองค์ประกอบของการทำทานให้เห็นเป็นตัวอย่างให้ชัดขึ้น จึงขออธิบายส่วนนี้เพิ่มอีกหน่อย
1. วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์ คำว่าวัตถุนั้นต้องบริสุทธิ์หมายถึง ต้องได้วัตถุนั้นมาด้วยความบริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนผู้ใดมา เพราะหากเป็นของที่ได้มาโดยการเบียดเบียน ไม่ว่าเจ้าของเงินจะรู้หรือไม่ว่าเงินถูกแปรสภาพไปแล้ว แต่กระแสจิตของเจ้าของเงินก็จะยังตามมาครอบของสิ่งนั้นอยู่เสมอไป เพราะจิตของเขาคิดอยู่เสมอว่า “เงินฉันอยู่ที่ไหน” เมื่อกระแสจิตของเขายึดครองมูลค่าของทรัพย์นั้นอยู่ ก็เท่ากับว่า วัตถุนั้นมีกระแสของความทุกข์ปนอยู่ และยังเป็นการกระทำที่ผิดศีลอีกด้วย
2. เจตนาที่ให้ต้องบริสุทธิ์ คือ ให้ด้วยจิตศรัทธา ให้เพื่อหมายความเกื้อกูล
การให้ทานคือการสละออก เป็นการคลายความยึดมั่นถือมั่น แต่หากให้แล้วมีจิตเสียดาย หรือให้เพื่อแสวงหาลาภและ สรรเสริญ เหล่านี้จะทำให้ได้ผลลัพธ์น้อย เพราะมีความโลภมาขวาง การรอคอยว่าเมื่อไหร่บุญจะส่งผล ก็คือกระแสจิตก็คอย แต่จะดึงของนั้นกลับคืนในรูปของบุญ การส่งผลของบุญคือการส่งพลังผลักดันที่มีผลเป็นบวก หากใจไม่ปล่อยจริงๆ ก็ไม่มีแรงสะท้อนกลับเต็มที่ อุปมาเหมือนการตีปิงปอง หากตีโต้กันไปมาอยู่บนโต๊ะปิงปอง ลูกปิงปองก็ไม่สะท้อนไปสุดทาง แต่หากไม่ตีโต้กัน แต่ตีชนกำแพงทีเดียว ลูกปิงปองกระดอนกลับมา ก็จะมีแรงส่งกลับแบบเต็มเหนี่ยว ฉันใดก็ฉันนั้น จิตนั้นเป็นกระแสพลังงานไหลวนอยู่ตลอด หากให้แล้วแต่จิตคอยแต่จะยื้อกลับ คือ เกิดเสียดายขึ้นมา การถ่ายเทพลังผลักดันก็เปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งส่งผลให้อานิสงส์ที่จะได้รับก็ลดหายไปได้เช่นกัน แต่หาก ปล่อยสุดแรง ผลที่ได้รับก็สะท้อนกลับสุดแรงเช่นกัน
3. บุคคลบริสุทธิ์ ผู้รับมีจิตบริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์ สูงสุดคือการถวายแด่พระพุทธเจ้า ตามมาด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วลดหลั่นตามกำลังบุญบารมีและความบริสุทธิ์ทางจิตของแต่ละท่าน
การทำทานมิได้หมายความว่าจะให้ทานกับผู้อื่นไม่ได้ สามารถให้ได้ และควรให้กับบุคคลธรรมดาหรือแม้แต่สัตว์ แต่ ในหัวข้อนี้เป็นการอธิบายว่า ให้แก่ผู้ใดจึงจะทำให้ได้อานิสงส์สูงสุด จึงอธิบายเฉพาะประเด็นนี้ ในการทำทานที่มุ่งแต่จะให้แก่ผู้ทรงศีลทรงธรรมโดยไม่มีจิตเมตตากรุณาผู้อื่นเลย นี่ก็คือเจตนาไม่บริสุทธิ์เช่นกัน คือให้ด้วยความหวังผล อยากจะได้บุญมากๆ แต่หากให้เพราะศรัทธา อยากร่วมสายธารบุญกับท่าน อยากให้ท่านเป็นเนื้อนาบุญให้ อันนี้ย่อมได้ ดังนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสถึงการถวายสังฆทานว่า แม้จะถวายเจาะจงแด่พระองค์เอง ยังได้อานิสงส์น้อยกว่าถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ถวายโดยไม่ได้เจาะจงว่ารูปใด เพราะการถวายโดยไม่เจาะจง คือการถวายแด่รัตนะดวงที่สาม
เรามีความเข้าใจกันว่า เมื่อนำอาหารไปตักบาตร ต่อไปอาหารนั้นจะกลายเป็นอาหารทิพย์ในปรโลกของผู้ถวาย หรือไปปรากฏแก่ญาติผู้ล่วงลับหากทำเพื่ออุทิศบุญกุศล แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็ในเมื่อให้อาหารไปแล้ว อาหารจะถูกเคี้ยวกลืนและกลายเป็นของเสีย แล้วจะกลายเป็นอาหารทิพย์ได้อย่างไร
คำอธิบายเรื่องนี้ ก็จะนำเข้ามาสู่หัวข้อเรื่องว่าด้วย “เส้นทางเดินของบุญ”
…ที่ทำบุญแล้ววิญญาณในปรโลกได้รับ หรือสิ่งที่ทำ กลายเป็นของทิพย์ได้ก็เพราะกระแสทิพย์ที่เป็นอาหารนั้นเกิด จากรสสัมผัสผ่านลิ้นของผู้รับประทานอาหารนั้น เมื่อจิตรับรู้รส แล้ว ผู้รับ (ผู้กิน) ก็สามารถน้อมจิตผ่องถ่ายพลังงานการรับรู้รส นั้นส่งต่อไปยังวิญญาณตามความประสงค์ของผู้นำมาถวายได้ ซึ่งหากเป็นพระภิกษุ ท่านก็น้อมจิตโดยการสวดอนุโมทนากถา ในบทที่ขึ้นต้นว่า ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอ วะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานังอุปะกัปปะติ… ซึ่งแปลว่า ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ฉันนั้น ขออิฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว จงสำเร็จโดยฉับพลัน..
เมื่อท่านกล่าวอนุโมทนาแล้ว ดวงจิตญาติมิตรที่ล่วงลับ ไปแล้วก็จะได้รับรสอาหารนี้ สมมติว่าอาหารนั้นคือข้าวมันไก่ วิญญาณผู้รับจะจำรสได้ด้วยสัญญา (ความทรงจำ) ว่ารสแบบนี้คือข้าวมันไก่ ในมิติทางโลกวิญญาณก็จะปรากฏเป็นข้าวมันไก่ทิพย์ให้วิญญาณได้รับรส แต่จะปรากฏหน้าตาอาหารเหมือนกับตอนที่ญาติเอาไปถวายหรือไม่ ก็ไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับจิตปรุงแต่งของวิญญาณ เช่น หากวิญญาณผู้รับเคยชินกับอาหารนั้นในจานกระเบื้อง พอจิตเขาสัมผัสรสข้าวมันไก่ได้ สัญญาหรือความทรงจำก็จะแปลงสัญญาณให้เห็นอาหารนั้นอยู่ในจานกระเบื้องตามความคุ้นเคย
แต่หากผู้ถวายอาหารไม่ได้อุทิศบุญให้แก่ผู้อื่น เป็นการทำบุญปกติของตน และจิตจดจำได้ว่า วันที่ถวายนั้นใส่ภาชนะ อะไรไว้ ต่อเมื่อตายแล้วไปเป็นเทวดา อาหารทิพย์ที่จะบังเกิดก็จะอยู่ในรูปภาชนะนั้นด้วยตามความทรงจำ
แต่หากเป็นการถวายแด่ท่านผู้เป็นเนื้อนาบุญอันบริสุทธิ์ อาหารทิพย์ที่จะบังเกิดก็จะปรากฏในภาชนะที่วิจิตร และมี ปริมาณที่เพิ่มพูนไม่มีประมาณ ด้วยอานุภาพแห่งบุญบารมีของท่าน รวมถึงบุญที่เกิดจากการที่ละความยึดมั่นถือมั่น เพราะเมื่อจิตไม่ครอบครองอะไร ด้วยพลังของการปล่อย ไม่อาลัยในบุญ ในลาภ ในสรรเสริญแล้ว ก็ไปเพิ่มพูนอานิสงส์ให้แก่ผู้ที่มาต่อสายบุญกับท่าน
ส่วนหากนำอาหารนี้ไปถวายแก่ผู้ที่จิตไม่บริสุทธิ์ ด้วยท่านยังมีความติดใจในรสอาหาร ก็นำไปสู่ความยึดมั่นถือมั่น ทำ ให้กระแสรสทิพย์ที่จะผ่องถ่ายไปถูกเก็บกักไว้ส่วนหนึ่ง คือ ไปกองอยู่กับกองกิเลส กองสังขารของผู้รับประทาน ผู้ถวายทานจึงไม่ได้อานิสงส์เต็มที่ และยิ่งหากไม่ใช่อาหาร แต่เป็นของอื่นๆ เช่น เงินหรือทองคำ หากผู้รับมีจิตอยากครอบครองสิ่งนั้นไว้เอง ทั้งทองคำ และเงินของจริง รวมถึงที่จะเกิดในมิติทิพย์ ก็จะพร่องหายไปด้วย สรุปคือ ผู้ทำ บุญหรือถวายจะไม่ได้รับอานิสงส์เต็มเปี่ยม
เพิ่มเติม – ถ้าไม่ใช่เป็นการถวายพระ แต่เป็นการ “ให้” แก่ ผู้ใดก็ตามด้วยจิตที่ประสงค์เกื้อกูล เมื่อให้แล้วผู้รับขอบคุณหรือ ตั้งจิตอนุโมทนา ของสิ่งนั้นๆ ก็จะเกิดเป็นทิพยสมบัติในโลกวิญญาณเช่นกัน แต่จะมากหรือน้อยและประณีตเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของผู้รับ นอกจากอานิสงส์จะบังเกิดในโลกวิญญาณแล้ว เมื่อจุติมาในภพภูมิมนุษย์ ก็จะได้รับอานิสงส์ตาม แต่ทานที่ได้ทำไว้ เช่น เกิดมามีทรัพย์ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นต้น
ตอนที่โพธิธรรมญาณฯ เริ่มมีการจัดงานผ้าป่าในปีแรกๆ มี วิญญาณและเทวดานำเงินและทองคำ มาร่วมถวายให้แก่อาจารย์ในจิต ต่างก็แต่งกายงดงาม นั่งเรียบร้อย มาถวายของเหล่านั้นร่วมบุญงานผ้าป่าด้วย ยามนั้นจิตยังไม่แจ้งเท่าไหร่ ก็งงว่าในทางโลกวิญญาณมีทองคำได้ด้วยหรือ แล้วเอาของมาถวายร่วมบุญกันแบบนี้ เราจะรับยังไงในเมื่อมันคนละโลกกัน ต่อไปเมื่อแจ้งขึ้นจึงเข้าใจว่า ก็น้อมรับในแบบโลกวิญญาณนั่นแหละ
การที่วิญญาณเขามีเงินและทองคำในแบบทิพยสมบัติ ก็เป็นเพราะตอนเป็นมนุษย์เขาทำบุญด้วยอามิสแบบนี้ พอจุติเป็นเทวดาจึงมีทิพยสมบัติตามอำนาจของบุญ ขึ้นชื่อว่าผู้ที่ยังไม่สิ้นกิเลส แม้จะเป็นเทวดา เขาก็ย่อมยึดมั่นถือมั่นในทิพยสมบัติของเขา ต่อเมื่อเขาคลายความยึดมั่นถือมั่นได้ แม้จะอยู่ในสภาพของการเป็นจิตวิญญาณ เขาก็อยากจะสละสิ่งที่เขาถือครองมาร่วมบุญ อาจารย์ก็ต้องรับไว้ตามจิตเจตนา จะได้เกิดเป็นบุญแก่เขา ซึ่งก็จะทำให้ทิพยสมบัติของเทวดารูปนั้นพร่องไปตามที่เขาตั้งสละมา แต่ก็จะเกิดเป็นทานบารมีของเขา ต่อเมื่อจิตเทพเหล่านี้ ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ผลบุญแห่งการสละคืนจะหนุนทำให้เป็นผู้มีทรัพย์ศฤงคารรออยู่ ดังที่เรียกว่า คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ส่วนในฟากของผู้รับคืออาจารย์ ก็ไม่รู้ว่าทองคำทิพย์ที่เขานำมา มอบให้จะส่งผลอะไรแก่ธรรมสถาน ก็ได้แต่ทำหน้าที่เป็นผู้รับ หรือเนื้อนาบุญไป
เรื่องจิตเรื่องกระแสพลังงานเป็นเรื่องซับซ้อน แต่เข้าใจไม่ยาก
ปัญญาญาณหรือญาณการหยั่งรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนา ทำให้อาจารย์ได้สัมผัสและเข้าถึงเส้นทางเดินของบุญ ว่าทำงานอย่างไร ก็เล่าให้ฟังเพื่อให้พิจารณาในวันที่อากาศร้อน
จิตใจจะได้ฉ่ำเย็น